ร้านนี้เกิดขึ้นจากการกลับมารันวงการของ 2 ฟู้ดดี้แถวหน้า ที่หายหน้าหายตาไปได้พักใหญ่ หนึ่งในนั้นคือ ‘มู่’ มัดมัวจากร้าน Let them eat cake ผู้บุกตลาดขนมหวานฝรั่งเศสแบบมาก่อนกาล และ ‘พอลลี่’ ผู้เคยสร้างแบรนด์อาหารสุดแมสมาแล้ว นี่จึงเป็นการกลับคืนวงการ และการรวมตัวกันที่น่าสนใจ
ด้วยส่วนผสมของความคราฟต์และความแมสของคน 2 คน ทำให้ La Galette เริ่มต้นด้วยความคลาสสิคของอาหารและขนมหวานสไตล์ฝรั่งเศสในเฟสแรก แต่ก็ซ่อนความแปลกใหม่ที่ไม่เหมือนชาวบ้าน ก่อนที่เฟสต่อไปอาจจะต่อยอดไปสู่อาหารสุดหวือหวาในแบบที่พระนางมารี อ็องตัวแน็ต ชื่นชอบ
ฝั่งขนมหวานของที่นี่เล่าเรื่องราวของชื่อ La Galette ได้ค่อนข้างชัด ซึ่งคำนี้ใช้เรียกอาหารทุกอย่างใช้แป้งห่อ ครอบคลุมทั้งเครป ทาร์ต และเค้ก โดยทำออกมาเป็นขนมอบและขนมหวานแบบซื้อกลับบ้าน รวมถึงจานขนมหวานสำหรับกินในร้าน
ส่วนอาหารเป็นจานคลาสสิคของฝรั่งเศสที่แอบทวิสต์บางอย่างลงไปให้รสชาติน่าสนใจมากกว่าเพียงความคลาสสิค โดยเฉพาะเมนู Duck Breast ‘Ispahan’ ซึ่งอิสปาฮองคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ ‘มู่’ ตัดสินใจไปเรียนทำขนมถึงฝรั่งเศส กับความหลงใหลในกลิ่นรสของการผสมผสานกันของวัตถุดิบ 3 ชนิด ราสป์เบอร์รี กุหลาบ และลิ้นจี่ จนกลายเป็นรสชาติใหม่ แน่นอนว่า ‘มู่’ นำเอาอิสปาฮองมาใช้กับขนมหวานและขนมอบแทบทุกชนิดแล้ว เลยอยากลองทำกับอาหารคาวดูบ้าง ซึ่งร้านก่อนหน้านี้ก็เคยทำมาแล้วทั้งอาหารคาวแบบฝรั่งเศสและจีน ซึ่งเราเชื่อว่าหลายคนตั้งตารอกับการกลับมาครั้งนี้
นอกจากนี้ยังมีเมนูอย่าง Beef Tartare ที่ปรับรสชาติให้เข้ากับคนไทย หรือ Chicken ‘Cordon Bleu’ เมนูเก่าแก่สุดคลาสสิค ซึ่งเป็นอาหารของเจ้านายฝรั่งเศส แต่เชื่อว่าคนไทยไม่น้อยรู้จักผ่านตลาดสามย่าน เมนูสุดย้อนแย้งแบบขนมโตเกียว แต่มีอยู่จริงในฝรั่งเศส โดยออริจินอลก็คือนำเอาอกไก่มาห่อแฮมและชีส ชุบแป้งทอด ราดด้วยซอสครีม โดยนำเอาน้ำมันพริกแบบจีนมาเพิ่มมิติและตัดเลี่ยน และเมนูสุดโปรดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ทางร้านเปลี่ยนจากปลาโซลมาเป็นปลาจาระเม็ด Pomfret a la Meuniere ซึ่งเมนูส่วนใหญ่ทางร้านตั้งใจทำให้เข้าใจได้ง่ายๆ แต่ก็ต้องไม่เหมือนใคร
ปิดท้ายด้วย Ispahan French Toast ขนมปังบริยอชเนื้อฉ่ำที่หอมด้วยกลิ่นกุหลาบกับส่วนผสมของลิ้นจี่และราสป์เบอร์รี มาพร้อมไอศกรีมราสป์เบอร์รี