
พาชมผลงานใน Awakening Bangkok 2025 เทศกาลไฟประจำปีของกรุงเทพฯ โดยพวกเรา Friday เรียกน้ำย่อย ก่อนงานเริ่มพรุ่งนี้วันแรก
ปีนี้มาจะในธีม LOVEVERCITY (เลิฟ-เอเวอร์-ซิตี้) พูดเรื่องความรักในเมืองในรูปแบบต่างๆ ผ่านงานศิลปกรรมไฟและดิจิทัลอิมเมอร์ซีฟ โดยจะจัดแสดงทั่วย่านเก่าในเขตพระนคร — ซึ่งในปีนี้มีการปรับเปลี่ยนเส้นทาง โดยจะจัดแสดงใน 3 พื้นที่ ได้แก่ “ปากคลองตลาด” (และยอดพิมานริเวอร์วอล์ก) และ “สามยอด” (ในสวนรมณีนาถ) และเพิ่มเติมพื้นที่ใหม่ คือ “สะพานพุทธ” แถวไปรษณียาคาร และ “สามยอด” ซึ่งจะมีชิ้นงานกระจายตัวทั้งที่ ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า สะพานหัน และคลองโอ่งอ่าง
ปีนี้มีรถสามล้อรับส่งฟรีเช่นเคย แต่ขออนุญาตงดการแสดงคอนเสิร์ต — แต่ชวนทุกคนออกมาสัมผัสความรัก มากับคนรัก หรือมาเจอความรักใน Awakening Bangkok 2025 “LOVEVERCITY” 12-21 ธันวาคมนี้ เปิดไฟทุกวัน 18:00-23:00
Awakening Bangkok 2025 จัดขึ้นด้วยการสนับสนุนจาก Mitsubishi Electric, SangSom, และ หอมปรุงบายใบห่อ ร่วมด้วย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย,สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน), กรุงเทพมหานคร, ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า, ยอดพิมานริเวอร์วอล์ก, ตลาดยอดพิมาน และ AMA Hostel

พื้นที่ทางศิลปะที่เปิดรับทุกเฉดสีของความเป็นมนุษย์ และความรักที่ไม่จำกัดรูปแบบ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกความเชื่อ และทุกมิติของการอยู่ร่วมกันในเมือง เมื่อแสงไฟเปลี่ยนเป็นโทนสีแห่งไพรด์ จะสะท้อนพลังของความรักที่หลากหลาย และการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม หัวใจจะเปล่งแสงตามจังหวะเพลง เสียงน้ำ และการเคลื่อนไหว เสมือนทุกคนร่วมกันเต้นไปในจังหวะเดียวกันของความเข้าใจ

ที่นี่…ความรักไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่เป็นคลื่นความถี่ที่ลอยอยู่ในอากาศ เปลี่ยนความถี่ไปตามทุกการสัมผัสและความรู้สึกของคุณ งานชิ้นนี้จะเปลี่ยนความรู้สึกให้กลายเป็นแสง สี และเสียงที่มีชีวิตขึ้นเมื่อเราสัมผัสกัน เพื่อช่วยเตือนเราว่า ความรักอาจมองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่มันยังคงทุ้มอยู่ในใจเสมอ

“Where Love Began, Silence Ended” เมื่อพื้นที่ว่างถูกเติมเต็มด้วยใครสักคน เสียงเงียบจึงถูกแทนที่ด้วยเสียงเพลง ย่านพระนครเป็นพื้นที่เก่าแก่ในเมืองที่บันทึกความรักและความผูกพันของผู้คนมามากมายหลายยุคสมัย งานชิ้นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อถ่ายทอดพลังงานของความรักเหล่านั้นที่ยังคงสถิตอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ และเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนได้มาร่วมสร้างบทเพลง เพื่อให้ทุกคนรับรู้ถึงการมีอยู่ของความรัก

“ความรักของครอบครัว” คือความรักที่เรียบง่าย แท้จริง และมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง เป็นความรักที่มักแสดงออกผ่านคำพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น กินข้าวแล้วหรือยัง, นอนได้แล้วนะเดี๋ยวจะป่วย, ถึงห้องแล้วบอกด้วยนะลูก ฯลฯ งานชิ้นนี้ชวนให้ทุกคนมาตระหนักถึงคุณค่าของคำบอกรักอันเรียบง่ายเหล่านี้อีกครั้ง เพราะวันหนึ่งคำพูดเหล่านี้ก็จะกลายเป็นเพียงความทรงจำ

เปลี่ยนเสียงในใจให้เป็นพลังเปลี่ยนโลก

The Flower Blooming คือพื้นที่ที่ความงดงามจะถูกเติมเต็มให้สมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อทุกคนได้มีส่วนร่วมกันทำให้ดอกไม้เบ่งบาน ด้วยการร่วมกัน ‘spin the flower’ หมุนดอกไม้ให้เปล่งแสงและเบ่งบาน และเมื่อดอกไม้เบ่งบาน ความสัมพันธ์อันงดงามก็จะค่อย ๆ ผลิบานไปพร้อมกัน ผ่านดอกไม้ที่มีความหมายเฉพาะตัว เช่นเดียวกับผู้คนหลากหลายที่ได้มาพบกันในสถานที่แห่งนี้ ทุกคนต่างมีเรื่องราว ความรู้สึก และความหมายที่แตกต่างกัน แต่เมื่อมารวมกันแล้วกลับหลอมเป็นภาพแห่งความงามเดียวกัน

การเดินทางของพระจันทร์และแสงโสมทอดยาวไปตามเส้นทางของงาน Awakening Bangkok 2025 เชื่อม “ศิลปะ – แสงไฟ – รสชาติ” ให้กลายเป็นประสบการณ์เดียวกัน

BOB กลับมาเยือน Awakening Bangkok อีกครั้ง เพื่อมอบความรักผ่านอ้อมกอดอุ่น ๆ และในทุกครั้งที่ BOB ได้รับอ้อมกอด น้องจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู สะท้อนความรักที่เบ่งบานอัดแน่นอยู่ข้างใน

“กอด” คือการสื่อสารความรักและผูกพันอย่างลึกซึ้งโดยไม่ต้องใช้คำพูด เหมือนตอนคุณกอดตุ๊กตาตัวแรกเป็นครั้งแรก ที่กลายเป็นเพื่อนคนแรกที่คุณกอดแน่นทุกคืน พึ่งพิงในวันที่กลัว ซ่อนใจในวันที่เศร้า แม้เวลาผ่านไปจะเก่าขาด แต่นั่นคือความรักและความผูกพันที่คุณไม่เคยลืม งานชิ้นนี้ชวนคุณกลับไปสัมผัสความรู้สึกนั้นอีกครั้ง ผ่านงานศิลปะที่แสดงแสงที่แตกต่างกัน กอดคนเดียว หรือกอดพร้อมกัน ทุกสัมผัสกอด ลูบหลัง หรือแตะเบา ๆ ล้วนกระตุ้นสีที่แตกต่างกันออกมา เพราะกอดแต่ละแบบก็เหมือนการเติม “รัก” ที่ต่างกันไป แล้วคำถามคือ…ถ้าเรากอดกันแล้วเข้าใจกันได้ขนาดนี้ เราจะ “รัก” กันมั้ย???

พื้นที่ที่เป็นเสมือนจุดหยุดพักจากความวุ่นวายในตัวเมือง เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง และมองเห็นความโรแมนติกผ่านสถาปัตยกรรมสำคัญในเมืองกรุง ที่อาจถูกมองข้ามไปในทุก ๆ วัน

แนวคิดนี้คือคำชวนให้คุณได้ชะลอจังหวะชีวิต แล้วหันกลับมาโอบกอดทุกก้าวย่างที่พาคุณมาถึง “วันนี้” เพราะเราเชื่อว่าคุณค่าของการมีชีวิตไม่ได้ผูกอยู่กับเส้นชัยอันยิ่งใหญ่ หากแต่อยู่ในทุกรอยขีดข่วน ความผิดพลาด และชัยชนะเล็ก ๆ ที่คุณได้เก็บเกี่ยวมาตลอดเส้นทาง
พื้นที่แห่งการค้นพบและโอบกอดตัวตน: ผลงานชิ้นนี้ถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่ที่ชวนให้ชะลอจังหวะชีวิต แล้วหันกลับมาโอบกอดทุกก้าวย่างที่พาคุณมาถึง “วันนี้” ผ่านเรื่องราวของคนแปลกหน้าที่จะค่อย ๆ พาคุณย้อนกลับไปเห็นคุณค่าของการมีอยู่ของตัวเองอีกครั้ง ท่ามกลางความเงียบสงบที่โอบล้อม คุณจะได้ใช้เวลาอยู่กับสมุดคำถาม และบทสนทนาที่ค่อย ๆ คลี่ตัวออกผ่านการ์ดคำถาม ซึ่งเป็นตัวกลางสำคัญที่จะเปิดหัวใจของคุณอย่างแผ่วเบา และในช่วงท้ายของประสบการณ์ คุณจะได้เขียนจดหมายสั้น ๆ เพื่อส่งต่อความปรารถนาดีให้ใครสักคน — อาจเป็นใครสักคนที่คุณเพิ่งพบเพียงครั้งเดียว แต่เรื่องราวของเขาอาจกลายเป็นความทรงจำที่ยังอบอุ่นอยู่ในใจคุณไปอีกนาน

ในเมืองที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง สายไฟพันกันเหนือหัว ผู้คนเดินผ่านกันอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกดี ๆ มักถูกกลบและหล่นหายไปโดยไม่รู้ตัว สิ่งของคุ้นตาที่อยู่ในชีวิตประจำวัน เมื่อนำมาจัดวางและตีความใหม่ สิ่งของเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากตัวแทนของความรัก ศิลปินอยากชวนให้เราช้าลงสักนิด มองสิ่งรอบตัวอย่างตั้งใจ และรับรู้ถึงความอบอุ่นของการอยู่ร่วมกันภายใต้แสงเดียวกัน เราจะเห็นว่าแม้พื้นที่จะวุ่นวายเพียงใด ก็ยังมีเรื่องราว ความทรงจำ และความรักซ่อนอยู่เสมอ ให้แสงที่พราวระยิบนี้เป็นเหมือนคำเชิญ ให้เรากลับมารู้สึก มองเห็น และรับรู้ถึงความรักในทุกรูปแบบที่รายล้อมเราอยู่ตลอดเวลา

แรงบันดาลใจจากหนังสือ “ปาฏิหาริย์บันทึกรัก (The Notebook)” โดย นิโคลัส สปาร์กส์ (แปลโดย จิระนันท์ พิตรปรีชา) สู่การนำเอาสวนสาธารณะอันเป็นดั่งที่พักใจจากความวุ่นวายกลางเมือง มาแปรเป็นพื้นที่ทดลองประสบการณ์ร่วมกันเพื่อสัมผัส “ความเงียบ” โดยในพื้นที่นี้ ระดับเสียงของผู้ที่อยู่ภายในอาณาเขตจะส่งผลต่อบรรยากาศของงาน ราวกับโลกกำลังเงี่ยหูฟังจังหวะในใจของผู้คนที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใด แต่กลับรู้สึกเชื่อมโยงกันผ่านความสงบที่แบ่งปันร่วมกัน และเมื่อนั้น ความเงียบที่เกิดขึ้นไม่ใช่ช่องว่างอีกต่อไป หากเป็นบทสนทนาที่งดงามที่สุด และความผูกพันบางอย่างก็สามารถเกิดขึ้นได้ เพียงแค่เราอยู่เฉย ๆ ข้างกัน

เมืองที่มีสีสันอาจไม่ใช่เมืองที่สว่างไสวจากการประดับไฟ หรือเมืองที่มีอาคารบ้านเรือนสวยงาม แต่อาจเป็น “เมืองที่มีชีวิต” เมืองที่มีผู้คนมากมายใช้ชีวิตร่วมกัน ต่างคนต่างมีบทบาทและหน้าที่ของตนเอง เสมือนเป็นเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงให้เมืองเต้นอยู่ในจังหวะของมัน แสงไฟในงานนี้จึงเปรียบเสมือน “แสงใจ” จากทุก ๆ คนที่เป็นส่วนหนึ่งของเมือง แสงใจแต่ละดวงมีเอกลักษณ์และความงดงามในแบบของตัวเอง เมื่อใดก็ตามที่ใจดวงนั้นถูกสัมผัส จะเกิดการเชื่อมโยงส่งต่อถึงดวงใจอื่น ๆ ราวกับใจของผู้คนที่สื่อถึงกัน เป็นตัวแทนของความรักที่แม้มองไม่เห็น แต่เชื่อมโยงกันอยู่เสมอ และเมื่อแสงเหล่านั้นรวมกัน เมืองทั้งเมืองก็จะเปล่งประกาย มีชีวิต มีสีสัน และอบอุ่นด้วยพลังแห่งความรักจากใจของทุก ๆ คน

ศิลปินตั้งใจสร้าง “พื้นที่ที่ดวงใจหลายดวงได้เชื่อมต่อกัน” ผ่านเสน่ห์ของการเขียนจดหมายที่เรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง โดยเอกลักษณ์ของผู้คนจะถูกถ่ายทอดออกมาผ่านลวดลายแสตมป์ของตนเอง พื้นที่แห่งนี้จะเป็นสะพานของความรู้สึก ที่ทำให้ผู้คนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ผ่านทางการเขียนจดหมาย

สุภาษิต “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” สะท้อนประสบการณ์ร่วมของผู้คนที่มีต่อยาแผนโบราณของไทย อีกทั้งยังเปรียบเสมือนการเดินทางของชีวิตที่ต้องก้าวผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ผลงานศิลปะจัดวางชิ้นนี้ถ่ายทอดแรงบันดาลใจจากสุภาษิตดังกล่าว ผ่านการเดินทางในโลกของสมุนไพรภายในห้างขายยาตราใบห่อ วัตถุดิบจากตำรับยาไทยถูกร้อยเรียงเป็นโครงสร้างโมดูลาร์ ที่ผสานประสบการณ์หลายประสาทสัมผัส เชื้อเชิญให้ผู้ชมได้ผ่อนคลาย หยุดพัก และกลับมาดูแลตัวเองอีกครั้ง

ณ ตรอกเล็กของ AMA Hostel บ้านจีนอายุกว่าสองศตวรรษ แสงไฟของโคมจีนค่อย ๆ เปลี่ยนสีราวกับจังหวะหัวใจที่เต้นอย่างอ่อนโยน แสงแดง-ม่วง-น้ำเงินคือความสงบของการรักตัวเอง แสงแดง-ส้มคือความอบอุ่นของการแบ่งปัน และแสงทองคือการโอบรับเมืองทั้งเมืองด้วยความรัก แสงแต่ละดวงสะท้อนผนังโบราณให้มีชีวิตอีกครั้ง เชิญผู้ชมเดินผ่านอุโมงค์แห่งแสงเพื่อสัมผัส “ความรัก” ในทุกรูปแบบที่ยังเปล่งประกาย

ผลงานชิ้นนี้เปลี่ยนซอยเล็ก ๆ ให้กลายเป็น “พื้นที่แห่งหัวใจ” ผ่านเส้นแสงรูปหัวใจที่แขวนลอยอยู่เหนือผู้ชม ไล่เฉดสีแทนความหลากหลายของความรัก ตั้งแต่ความอบอุ่น ความคิดถึง ไปจนถึงความอ่อนโยนต่อผู้คนรอบข้าง ซอยเล็ก ๆ กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยของทุกความรัก เมื่อผู้คนเดินผ่านใต้หัวใจ แสงจะห่อหุ้มร่างกายและเกิดเงาเคลื่อนไหว ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังก้าวผ่าน “หัวใจของเมือง” ที่เต้นอยู่เพราะการมีอยู่ของผู้คน

วงจรของดอกไม้ที่มีทั้งงอกงาม เสื่อมสลาย และซ่อมแซมได้ ก็เช่นเดียวกับความรัก ในช่วงแรกมันอาจเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ความสดใส และความหลงใหล แต่เมื่อเวลาผ่านไป ย่อมมีวันที่เหนื่อยล้า วันที่ไม่เข้าใจกัน หรือวันที่ความเจ็บปวดเกิดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าความรักนั้นตายไปแล้ว เพียงแต่มันต้อง “เปลี่ยนรูป” ความรักที่ดีไม่ได้วัดกันที่การมีปัญหามากน้อยเพียงใด หากแต่อยู่ที่ใจเราที่ยังคงอยากยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมที่จะทำความเข้าใจ ปรับตัวเข้าหากัน ยอมรับฟัง และช่วยกันหาทางออก เพื่อเรียนรู้ เติบโต และเดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ กับคนรัก เราทั้งคู่นั้นเปรียบเสมือนแจกันดอกไม้ หากฐานของความเชื่อใจแตกร้าว ดอกไม้ที่เคยงดงามก็อาจเหี่ยวลง เพราะผลลัพธ์ของความรักขึ้นอยู่กับวิธีที่เราดูแลมัน ไม่มีถูก ไม่มีผิด แต่จะทำอย่างไรให้มันผลิบานได้อย่างสวยงาม

ขนมไทย 9 มงคล ถูกมองผ่านมุมมองของงานศิลปะร่วมสมัย และถูกนำเสนอโดยใช้แสง สี และ AR ให้ขนมแต่ละชิ้นทำหน้าที่เป็น “แสง” ที่เปล่งประกายความงดงามของภูมิปัญญาไทย
ความหมายของขนม
ขนมถ้วยฟู
ความหมายเดิม: ความเจริญรุ่งเรือง ความก้าวหน้า
ความหมายด้านความรัก: ความรักที่ “ฟูขึ้น” สดใส เต็มไปด้วยความหวังและความโชคดีเมื่อเราอยู่ด้วยกัน
ขนมเสน่ห์จันทน์
ความหมายเดิม: เสริมเสน่ห์ มีคนรักใคร่
ความหมายด้านความรัก: ความรักที่อบอวลด้วยเสน่ห์ของกันและกัน เหมือนถูกดึงดูดมาตั้งแต่แรกพบ
ขนมชั้น
ความหมายเดิม: มีความก้าวหน้า เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง
ความหมายด้านความรัก: ความรักที่ค่อย ๆ เติบโตทีละชั้น แข็งแรงขึ้นทุกวันด้วยความเข้าใจและความจริงใจ
ขนมทองหยิบ
ความหมายเดิม: หยิบเงินหยิบทอง ความมั่งคั่ง
ความหมายด้านความรัก: ความรักที่ “หยิบจับแล้วมีแต่ความดีงาม” เต็มไปด้วยคุณค่าที่อยากเก็บไว้ตลอดไป
ขนมทองหยอด
ความหมายเดิม: โชคลาภ ความร่ำรวย
ความหมายด้านความรัก: หยอดความหวานลงไปทีละนิด จนกลายเป็นรักที่อ่อนโยนและมั่นคง
ขนมฝอยทอง
ความหมายเดิม: ความยาวนาน เจริญรุ่งเรือง
ความหมายด้านความรัก: ความรักยาวนานดังเส้นฝอยทอง ไม่มีวันจางหาย ผูกพันกันไปตลอด
ขนมเม็ดขนุน
ความหมายเดิม: การมีผู้อุปถัมภ์ ค้ำจุน
ความหมายด้านความรัก: การเป็นกำลังใจให้กัน คอยค้ำจุน ดูแลกันในทุกสถานการณ์ ไม่ทอดทิ้งกัน
ขนมทองเอก
ความหมายเดิม: เป็นหนึ่ง ความสำเร็จ
ความหมายด้านความรัก: ความรักที่มองว่า “เธอคือหนึ่งเดียว” เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในหัวใจ
ขนมดาราทอง
ความหมายเดิม: เปรียบเสมือนแสงดาว ความรุ่งโรจน์
ความหมายด้านความรัก: ความรักที่เป็นเหมือนดาวส่องแสงในชีวิต ทำให้ทุกวันสว่างไสวและมีความหมาย

ความรักอาจไม่ใช่สิ่งที่ต้องออกตามหา แต่คือแสงแผ่วเบาที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวัน ในผู้คน เรื่องราว พื้นที่ และเมืองที่เราใช้ชีวิตร่วมกัน แสงในผลงานนี้จึงชวนให้เรามองเห็นความรักในรูปแบบที่อาจไม่เคยสังเกตมาก่อน Light, Lightly และ Likely ในชื่อผลงาน สื่อถึงความรักในสามมุมมอง นั่นคือ ความรักจากแสงที่อยู่รอบตัวเมืองและผู้คน ความรักที่อ่อนโยนแผ่วเบาจนก่อให้เกิดความรู้สึกดี ๆ และความเป็นไปได้เล็ก ๆ ที่อาจเปลี่ยนเป็นความรักได้ในทุกจังหวะของชีวิตเรา ปล่อยให้แสงนำทาง แล้วเราอาจพบว่า “สิ่งธรรมดา ๆ” รอบตัว ก็อาจจะเป็นความรักก็ได้นะ

พระนครยืนหยัดในฐานะ “หัวใจของสยาม” ที่แม้เวลาจะหมุนผ่าน แต่ยังคงเต้นด้วยจิตวิญญาณเดิม จากอดีตอันรุ่งเรืองสู่ปัจจุบันที่ไม่เคยเสื่อมค่า ยังคงเป็นเมืองที่สะท้อนทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตในจังหวะเดียวกัน ความรักที่มีต่อ “พระนคร” จึงไม่ใช่แค่ความหลงใหลในอดีต แต่คือความภาคภูมิใจในการอยู่ร่วมกันของอดีตและอนาคต
ผลงาน “ยักษ์ใหญ่” เป็นตัวแทนของผู้พิทักษ์ที่ปกป้องความเจริญรุ่งเรืองของสองโลก คือมิติของรากเหง้าแห่งศิลปะไทย และมิติของมหานครสมัยใหม่ที่เติบโตทั้งด้านวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และอัตลักษณ์ของเมือง ลายบนผ้าโพกเศียรคือผ้าลายอย่าง มรดกทางศิลปกรรมที่ปรากฏในงานจิตรกรรมเทพชุมนุม จากพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ยักษ์-ใหญ่ ที่ยืนหยัดอยู่นี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นแต่ทรงพลัง ทันสมัยแต่ไม่ลืมรากเหง้า พร้อมประดับแสงไฟที่สะท้อนตามจังหวะของหัวใจของศิลปินที่ “ตกหลุมรัก” สมดุลของเวลา วัฒนธรรม และวิถีชีวิตในพระนคร

ผลงานชิ้นนี้พาคุณไปสัมผัสการเดินทางทางแสงไฟ ที่อาจพาคุณไปพบกับใครสักคน อาจเป็นคนรักที่รู้จักกันมานานแล้ว เป็นเพื่อนที่แอบชอบอยู่ หรือแม้แต่คนที่คุณอาจได้รู้จักกันมากขึ้นจากการพบเจอกันในวันนี้ ในห้องแรก คุณจะได้รับเส้นทางในการเดินทางผ่านไฟคดเคี้ยวที่ไหวระยับ พร้อมกระดาษที่มีหนึ่งคำถามที่คุณต้องนำไปถามกับอีกฝ่าย เดินสัมผัสความงดงามของแสงและเงา และไฟที่เปลี่ยนไปสะท้อนความหลากหลายของอารมณ์ เมื่อแสงสงบลง คุณจะพบกับอีกห้อง — ห้องที่คุณจะได้เอ่ยคำถามในจดหมาย เป็นพื้นที่ที่ได้เติมหัวใจให้อบอุ่นด้วยแสง

ความในใจที่จะถูกเขียนลงบนจดหมาย ส่งต่อผ่านแสงจากประภาคาร ที่จะเป็นตัวแทนในการส่งต่อข้อความจากใจ ให้ความรู้สึกของคุณได้เดินทางไปสู่คนที่นึกถึง

พื้นที่ที่ทำให้เรารับรู้ถึงกันและกัน ผ่านทุกก้าวที่เราเดินขึ้นบันได และซุ้มหัวใจที่จะเปลี่ยนสีเมื่อมีคนเข้ามายืนเคียงข้าง ราวกับใจกำลังสื่อถึงกัน

ผลงานชิ้นนี้ถ่ายทอดการเดินทางของความรักในหลากหลายรูปแบบ ผ่านสัญลักษณ์ของดอกไม้และต้นไม้แห่งจิตใจ เพราะหัวใจแต่ละดวงเปล่งประกายในแบบของตัวเอง ไม่มีความรักใดที่เหมือนกัน แต่ทุกดวงต่างงดงามเมื่อได้เข้าใจตัวเองและผู้อื่น

ในอดีต แม่น้ำเจ้าพระยาเคยมี ปลาหวีเกศ ว่ายเวียนอยู่ร่วมกับเมืองกรุงมายาวนาน แต่เมื่อมนุษย์เลิกรักธรรมชาติ เมืองสว่างไสวขึ้นทุกวัน พร้อมกับการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศน้ำจืดและการแทรกแซงของมนุษย์ ปลาหวีเกศจึงสูญพันธุ์ เหลือเพียงชื่อและเรื่องราวของปลาพันธุ์ไทยที่เคยมีอยู่จริง
งานชิ้นนี้ต้องการชวนสังคม หันกลับมารักระบบนิเวศในเมืองอีกครั้ง ตระหนักว่าการสูญพันธุ์ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ผู้ชมจะได้เห็นคุณค่าของความหลากหลายทางชีวภาพ และความจำเป็นของการอนุรักษ์สัตว์น้ำไทยชนิดอื่นที่กำลังเผชิญชะตากรรมเดียวกัน เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียซ้ำในอนาคต—เพราะการหายไปเพียงครั้งเดียว สามารถเปลี่ยนเมืองทั้งเมืองได้
