Goldsmith เป็นทั้งชื่อบาร์และชื่อตึกที่ตั้งใหม่หลังจากเชฟเดวิด ทอมป์สันและทีมงานเข้ามาปัดฝุ่นแปลงโฉมตึกเก่าแก่ที่เคยเป็นร้านทองให้กลายเป็นร้านอาหารและบาร์อย่างในปัจจุบัน โดยบาร์แห่งนี้ถ่ายทอดวัฒนธรรมการดื่มที่ได้รับอิทธิพลจากเซี่ยงไฮ้ยุค 1920–ยุคแรกเริ่มของ Prohibition Era (1920-1933) ของฝั่งตะวันตก เป็นต้นมาจนถึงจิตวิญญาณอันเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาบนถนนเยาวราชในปัจจุบัน
การตกแต่งร้านมีกลิ่นอายของ Art Deco สไตล์การออกแบบตกแต่งที่เน้นความหรูหรา ทันสมัย และอลังการ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นในช่วงต้นยุค 1920 เช่นกัน และยังผสมผสานกับสไตล์วินเทจโอเรียนทัลได้อย่างลงตัว ทั้งร้านจึงอบอวลด้วยกลิ่นอายแบบจีนที่มีคาแร็กเตอร์ทันสมัยและน่าจดจำด้วยการเลือกใช้คู่สีที่ตัดกันชัดเจน
ค็อกเทลที่ร้านรังสรรค์โดย Nabeil Nasran เฮดบาร์เทนเดอร์ชาวมาเลเซีย ที่สามารถเล่าประวัติศาสตร์การดื่มจากเซี่ยงไฮ้ยุค 1920 จนถึงเยาวราชยุคปัจจุบันให้เราฟังผ่านเครื่องดื่มได้อย่างถึงรสถึงชาติ โดยแต่ละแก้วจะเน้นใช้วัตถุดิบท้องถิ่นในเอเชียเป็นส่วนผสม แก้วที่น่าสนใจ ได้แก่ Third Tango (390 บาท) ทวิสต์มาจากค็อกเทลคลาสสิกชื่อ Second Tango ที่ถือกำเนิดขึ้นในโรงแรม Waldorf Astoria Shanghai ตั้งแต่ปี 1930 เวอร์ชันของที่ร้านจะเป็นเครื่องดื่มแนว low AVB เน้น แต่รสชาติจะออกแนว White Negroni และมีความฟลอรัล
ตามด้วย Tea & Fire (450 บาท) แก้วนี้จะคล้าย Bloody Mary เป็นดริงก์สไตล์เซเวอรีที่ดื่มง่ายกว่าที่คิด ใช้เมสคาลและสุราข้าวไทยเป็นเหล้าหลัก ส่วนรสชาติของแก้วนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากซุปบอชช์ (Borscht Soup) ซึ่งเป็นซุปมะเขือเทศของคนจีนที่ได้รับอิทธิพลจากรัสเซียและฝรั่งเศสในยุค 1980 ของเซี่ยงไฮ้ ส่วนผสมเด่นๆ ในแก้วนี้จึงมีทั้งมะเขือเทศ เซเลอรี ผักชี และซุปดาชิ
และ Liquid Gold (450 บาท) ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอดีตของตึกที่เคยเป็นร้านทองเก่า บาร์เทนเดอร์เลือกทวิสต์มาจาก White Negroni ซึ่งเป็นค็อกเทลแก้วโปรดของเขา โดยใส่คาแร็กเตอร์แบบ Wet Martini เข้าไปด้วย เหล้าหลักของแก้วนี้คือจิน ผสมผสานกับ Lilet Blanc และเพิ่มความเป็นเอเชียด้วยดอกเบญจมาศ ตกแต่งด้วยทองคำกินได้