1 ใน 2 โรงแรมของกรุงเทพฯ ที่ได้ Three Michelin Keys ซึ่งถือว่าเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังได้อันดับที่ 12 ของ The World's 50 Best Hotels 2024 และเป็น 1 ใน 10 โรงแรมที่ดีที่สุดในโลกของ The World's Best Hotel 2025 จาก La Liste ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะโรงแรมแห่งนี้ถือว่า เป็นตำนานของโรงแรมในกรุงเทพฯ หลังจากเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1876 และกำลังจะเปิดให้บริการครบ 150 ปี ในปีหน้า ที่นี่ยังถือว่าเป็นโรงแรม 5 ดาว แห่งแรกของประเทศไทยอีกด้วย และเป็นโรงแรมที่เป็นหน้าเป็นตา คอยรับแขกบ้านแขกเมืองมาอย่างยาวนาน ยังเป็นโรงแรมเดียวในกรุงเทพฯ ที่ถูกเลือกให้เป็นโลเคชั่นหลักในการถ่ายทำ “The White Lotus” ซีซั่น 3

จุดเด่นของโรงแรมอยู่ที่ล็อบบี้ที่ตกแต่งด้วยดอกไม้ที่สดใหม่อยู่เสมอ รวมถึงห้องพักฝั่ง River Wing ที่โดดเด่นด้วยวิวของแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งของห้องอาหารก็พร้อมด้วยห้องอาหารรางวัล ห้องอาหารฝรั่งเศส Le Normandie ห้องอาหารไฟน์ไดนิงแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้ตัวเชฟ Anne-Sophie Pic เชฟหญิงที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในโลกมาร่วมงาน ส่วนเชฟ Alex Dilling มาดูแลห้องอาหาร Lord Jim’s รวมถึงเตรียมเปิด The China House ที่ได้ตัวเชฟ Fei มาจากโรงแรมแมนดารินโอเรียนเต็ลในเมืองกวางโจว เซินเจิ้น เฉียนเหมิน และปักกิ่ง และ Baan Phraya ที่เตรียมขยายพื้นที่ให้รับแขกได้มากขึ้น รวมถึง The Bamboo Bar บาร์ค็อกเทลและบาร์แจ๊ซชื่อด้งของกรุงเทพฯ

นอกจากนี้ Authors’ Lounge ยังเป็นห้องน้ำชาที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ และเป็นสถานที่รำลึกและยกย่องนักเขียนชื่อดังที่เคยเข้าพักหรือใช้เวลาสร้างสรรค์ผลงานที่โรงแรมแห่งนี้

1 ใน 2 โรงแรมของกรุงเทพฯ ที่ได้ Three Michelin Keys ซึ่งถือว่าเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังได้อันดับที่ 26 ของ The World's 50 Best Hotels 2024 และอยู่ใน Top 1000 Hotels 2025 จาก La Liste

โรงแรมริมแม่น้ำเจ้าพระยาของครอบครัวสุโกศล ซึ่งถูกออกแบบโดย Bill Bensley สถาปนิกชื่อดังที่ออกแบบโรงแรมชื่อดังมาแล้วทั่วโลก โดยบิลผสมสไตล์ของอาร์ตเดคโคเข้ากับกลิ่นอายโคโลเนียล ตกแต่งด้วยของสะสมส่วนตัวของครอบครัวสุโกศล เช่น กล้องรุ่นเก่า เครื่องอัดเสียง และของสะสมอื่นๆ

ที่นี่มีห้องสวีทและวิลล่ารวม 39 ห้อง ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เริ่มต้นที่ 80 ตารางเมตร ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่อัดแน่นไปด้วยของตกแต่งและห้องน้ำที่หรูหรา รวมถึงบริการบัตเลอร์ และพิเศษ Connie's Cottage เรือนไทยริมเจ้าพระยา ที่ถือเป็นหนึ่งในห้องพักที่โดดเด่นและมีประวัติเก่าแก่ที่สุดในกรุงเทพฯ

นอกจากนี้ยังมีห้องอาหารไทย Chon, ห้องอาหาร The Story House ที่ออกแบบโดย Bill Bensley, The Pier ท่าเรือส่วนตัวที่มีมุมนั่งดื่มชมพระอาทิตย์ตก และ Bathers Bar บาร์ค็อกเทลริมสระว่ายน้ำ

โรงแรมอันดับ 1 ของโลก จาก The World's 50 Best Hotels 2024 ควบรางวัลกุญแจมิชลิน 2 กุญแจ และอยู่ใน Top 1000 Hotels 2025 จาก La Liste

Capella Bangkok มาในคอนเซ็ปต์ Urban Resort ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวิถีชีวิตริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีห้องสวีทและวิลล่า รวม 101 ห้อง ที่ทุกห้องเห็นวิวแม่น้ำทั้งหมด โดยวิลล่ามีทั้งหมด 7 หลัง ริมแม่น้ำ พร้อมวิวแม่น้ำแบบพาโนรามา ระเบียงส่วนตัว และจากุซซี่

ที่นี่ค่อนข้างโดดเด่นเรื่องห้องอาหาร โดยเฉพาะ Côte by Mauro Colagreco ห้องอาหารฝรั่งเศสมิชลินสตาร์ 2 ดาว, Phra Nakhon ห้องอาหารไทยริมน้ำ และ Stella Bar บาร์ค็อกเทลที่มีจุดเด่นอยู่ที่นกยูงเผือกใจกลางร้าน นอกจากนี้อาหารเช้าของที่นี่ก็น่าสนใจในแบบอลาคาร์ทบุฟเฟ่ต์ที่มีทั้งอาหารญี่ปุ่น จีน ไทย และตะวันตก

สระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้ที่ขนานไปกับแม่น้ำเจ้าพระยาก็ยังเป็นอีกจุดเด่น รวมถึง Auriga Wellness ที่มีบริการสำหรับแขกที่เข้าพักทั้ง Aqua therapy และ Vitality pool นอกจากนี้ยังมีบริการ Capella Culturist พนักงานช่วยเหลือส่วนตัวที่คอยให้ข้อมูลต่างๆ กับแขกผู้เข้าพักด้วย

โรงแรมอันดับ 14 จาก The World's 50 Best Hotels 2024 ควบรางวัลกุญแจมิชลิน 2 กุญแจ และอยู่ใน Top 1000 Hotels 2025 จาก La Liste

ที่นี่มาในคอนเซ็ปต์ของ Unique Urban Resort โดยนักออกแบบชื่อดัง Jean-Michel Gathy ผู้อยู่เบื้องหลังงานออกแบบรีสอร์ตชื่อดังทั่วโลก เน้นการเชื่อมต่อแม่น้ำให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม อย่างวิวของล็อบบี้ที่มีสระน้ำที่เชื่อมออกไปยังแม่น้ำ ส่วนของห้องพักมีทั้งหมด 299 ห้อง เริ่มที่ 50 ตารางเมตร มาพร้อม 2 สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ รวมถึง The Urban Wellness Center แบบครบวงจร

ห้องอาหารของที่นี่โดดเด่นด้วยห้องอาหาร Palmier by Guillaume Galliot ที่ให้บริการอาหารฝรั่งเศสโดยมีเชฟจาก Caprice ห้องอาหารมิชลิน 3 ดาว จากฮ่องกง มาช่วยดูแลสูตรอาหาร รวมถึงที่นี่ยังมีห้องอาหารจีน Yu Ting Yuan ที่เคยได้ดาวมิชลินในไทยมาแล้ว ตามด้วยห้องอาหารอิตาเลียน Riva Del Fiume และ BKK Social Club บาร์ค็อกเทลรางวัล Asia’s 50 Best Bars และ The World 50 Best Bars

ที่นี้ยังให้ความสำคัญกับงานอาร์ต โดยร่วมมือกับ Moca Bangkok จัดโซน Art Space by Moca at Four Seasons แกลเลอรีศิลปะที่เปิดให้เข้าชมฟรี

โรงแรมรางวัลกุญแจมิชลิน 2 กุญแจ และอยู่ใน Top 1000 Hotels 2025 จาก La Liste ที่มีจุดเด่นอยู่ที่รูปทรงอาคารที่มีความไอคอนนิค บนชั้น 9 ถึง 36 ซึ่งถูกออกแบบโดย Amanda Levete ด้วยรูปทรงคล้ายเลข 8 อันเป็นมงคลตามคติความเชื่อของจีน พร้อมแผ่นสะท้อนสีเงินที่สะท้อนแสงแดด ทำให้อาคารโดดเด่นไม่เหมือนใคร ส่วนภายในใช้โทนสีสว่าง ใส่ลายละเอียดแบบไทยโมเดิร์นในทุกดีเทล ทุกพื้นที่รายล้อมด้วยอาร์ตพีช อาทิ Pagoda Mirageโดยศิลปินชาวญี่ปุ่น Hirotoshi Sawada

ห้องพักทั้งหมด 222 ห้อง เริ่มต้นที่ 48 ตารางเมตร มีกลิ่นอายความเป็นไทยที่ผสมผสานความโมเดิร์น สำหรับ 3 ชั้นบนสุดของโรงแรมจะเป็นพื้นที่ของ Penthouse Bar & Grill ที่เป็นทั้งสเต๊กเฮ้าส์ และบาร์นอกจากนี้ยังมีห้องอาหาร Embassy Room ห้องอาหารอิตาเลียน และ The Living Room ที่ให้บริการชายามบ่าย รวมถึงไฮไลต์ของโรงแรมอย่างอินฟินิตี้พูลที่ชั้น 9

โรงแรมอัลตร้าลักชูรีย่านเพลินจิต ภายในอาคารสูง 32 ชั้น ที่ได้รับการออกแบบใหม่โดยได้แรงบันดาลใจมาจาก “การไหว้” อันเป็นสัญลักษณ์ของคนไทย เพื่อสื่อถึงการทักทายและการต้อนรับ ทำให้โรงแรมนี้ได้รางวัลกุญแจมิชลิน 2 กุญแจ และอยู่ใน Top 1000 Hotels 2025 จาก La Liste

ที่นี่ยังมีเอเทรียมกลางพร้อมสวนแนวตั้งและน้ำตกภายในอาคาร ซึ่งสื่อไปถึงแม่น้ำลำคลองที่เชื่อมโยงกับเรื่องราวของกรุงเทพฯ ที่นี่มีห้องทั้งหมด 158 ห้อง เริ่มต้นที่ 42 ตารางเมตร รวมถึง 20 สวีท โดยเฉพาะ 3 Sky Houses ที่มี Terrace และ Plunge Pool ส่วนตัว ได้แก่ นาราเฮ้าส์ ธาราเฮ้าส์ และบรรณาการเฮ้าส์

นอกจากนี้ยังมี Lakorn ห้องอาหารไทย, Nan Bei ห้องอาหารจีนเหนือ–ใต้, Lennon’s บาร์สปีคอีซีและไวนิลบาร์ และ G&O ห้องอาหารสุขภาพ

โรงแรมแบรนด์ลักชูรีจากญี่ปุ่น ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วโลก โดยที่ประเทศไทยเป็น Okura แห่งแรกที่มีคำว่า Prestige ที่สะท้อนถึงความหรูหรามีระดับที่เหนือกว่าเดิม แน่นอนว่ายังคงให้บริการแบบ Omotenashi ที่ให้ความใส่ใจแขกผู้มาเยือน ผ่านงานดีไซน์สไตล์มินิมัล ที่ผสมหินอ่อน ไม้ และความเรียบหรูแบบญี่ปุ่น ล่าสุดได้รับรางวัลกุญแจมิชลิน 2 กุญแจ และอยู่ใน Top 1000 Hotels 2025 จาก La Liste

ที่นี่มีห้องพักทั้งหมด 240 ห้อง เริ่มต้นที่ 42 ตารางเมตร ภายในห้องพักทุกห้องมีบริการชุดยูกาตะพร้อมมุมน้ำชาที่สื่อถึงวัฒนธรรมแบบคนญี่ปุ่น รวมถึงบริการเตรียมน้ำอุ่นให้เราได้สัมผัสวัฒนธรรมแช่ออนเซ็น รวมถึงสระว่ายน้ำอินฟินิตี้ที่ใช้ระบบน้ำอุ่น ทำให้ว่ายน้ำได้ในทุกฤดูกาล

แน่นอนว่าห้องอาหารหลักของที่นี่เป็น Yamazato ที่ให้บริการอาหารญี่ปุ่นแบบไคเซกิ ซูชิ และมุมเทปปันยากิที่ชื่อว่า Sazanka ที่นี่ยังใช้เสิร์ฟอาหารเช้าแบบญี่ปุ่นสำหรับแขกที่เข้าพัก นอกจากนี้ยังมี Elements, Inspired by Ciel Bleu ห้องอาหารมิชลิน 1 ดาว ที่เสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสเจือกลิ่นอายญี่ปุ่น และ Up & Above ห้องอาหารออลเดย์ไดนิ่งที่ช่วงบ่ายจะเสิร์ฟชุดน้ำชายามบ่าย ซึ่งเปลี่ยนเมนูไปตามฤดูกาลของญี่ปุ่น

หนึ่งในโรงแรมริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่โดดเด่นด้วยโลเคชั่นในฝั่งธนบุรี แต่ให้บริการสามล้อและเรือข้ามฟากที่ให้ผู้เข้าพักได้สัมผัสวิถีชีวิตแบบคนกรุงเทพฯ มีห้องพักทั้งหมด 367 ห้อง ซึ่งมีจุดเด่นที่ห้องพักทุกแบบสามารถชมวิวแม่น้ำได้ ที่นี่ได้รับรางวัลกุญแจมิชลิน 2 กุญแจ รวมถึงอยู่ใน Top 1000 Hotels 2025 จาก La Liste ด้วย

ที่นี่มีห้องอาหารหลักเป็นห้องอาหารจีนเหม่ยเจียง ตามด้วยห้องอาหารทิพย์ธาราที่บริการอาหารไทย, และริเวอร์ คาเฟ่ แอนด์ เทอเรส ที่ให้บริการอาหารนานาชาติและบุฟเฟ่ต์มื้อค่ำ ที่สำคัญชุดน้ำชายามบ่ายของที่นี่ก็ให้บริการสโคนสูตรเดียวกันกับที่ฮ่องกง รวมถึงขนมไหว้พระจันทร์ไส้คัสตาร์ดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงเทศกาลขนมไหว้พระจันทร์

โรงแรมระดับลักชูรีที่เด่นเรื่องการใช้อาคารที่ไม่สูงมาก สร้างบรรยากาศของรีสอร์ตกลางเมืองบนถนนสาทร ที่นี่ออกแบบโดย Ed Tuttle สถาปนิกผู้มีชื่อเสียงจากการออกแบบ Aman รวมถึงการใช้พื้นที่ของสวน สนามหญ้า คอร์ทยาร์ด และสระบัว ที่ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวสบายตา

นำเสนอความเป็นไทยผ่านไม้สัก ผ้าไหมไทย และงานศิลาดล รวมถึงการออกแบบโรงแรมที่ได้กลิ่นอายของเมืองโบราณสุโขทัย โดยมีการใช้เจดีย์และพระปรางค์ที่งดงาม แบ่งอาคารเป็นสุโขทัยคลับวิง และเมนวิง นอกจากนี้ยังมีห้องอาหารไทยวิวบึงบัว Celadon, ห้องอาหารอิตาเลียน La Scala , ห้องอาหาร Colonnade ออลเดย์ไดนิ่งและบุฟเฟ่ต์ช็อกโกแลต

ล่าสุดเปิด The Sukhothai Spa ลักชูรีสปาแห่งใหม่ที่จำลองโครงสร้างสปามาจากงานสถาปัตยกรรมของวัดศรีชุม วัดโบราณเก่าแก่ในสุโขทัย และยกเรือนไทยโบราณมาจากจังหวัดสุโขทัย รวมถึงมีห้องฮัมมัม ห้องอาบน้ำสไตล์โมรอคโค จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้รางวัลกุญแจมิชลิน 2 กุญแจ และอยู่ใน Top 1000 Hotels 2025 จาก La List

โรงแรมบูติกใจกลางสุขุมวิทซอย 39 ใกล้กับศูนย์การค้าดิ เอ็มโพเรียม และดิ เอ็มควอเทียร์ พร้อมบริการรถรับ-ส่งสถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ด้วย London Cab เหมาะกับคนที่ต้องการพักผ่อนแบบเป็นส่วนตัวระดับห้าดาวในห้องสไตล์ Residence ขนาดใหญ่

จุดเด่นของที่นี่คือ Rooftop Infinity Pool สระว่ายน้ำบนชั้นดาดฟ้าให้ว่ายน้ำขนานไปกับเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพฯ ซึ่งทำให้ที่นี่ได้รางวัลกุญแจมิชลิน 1 กุญแจ และอยู่ใน Top 1000 Hotels 2025 จาก La Liste

ส่วนห้องอาหารที่นี่เด่นตรงที่ห้องอาหาร Nimitr อาหารไทยโมเดิร์นที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น, Bangkok Trading Post Bistro & Bar ออลเดย์ไดนิ่งที่ให้บรรยากาศสบายๆ แบบคาเฟ่ และ Jack Bain’s Bar บาร์สปีกอีซีที่ให้กลิ่นอาย Gentleman’s club

จุดเด่นอยู่ที่สวนสีเขียวกลางกรุง และเป็นโรงแรม Pet Friendly ที่สามารถพาสัตว์เลี้ยงมาเช็กอินเข้าพักได้ด้วย มีข้อแม้เพียงว่าขนาดของสัตว์เลี้ยงต้องสามารถเข้าลิฟท์ของโรงแรมได้เท่านั้น โดยเฉพาะพื้นที่ของ Craft คาเฟ่ที่เป็นเหมือนคอมมูนิตี้ของสัตว์เลี้ยง ซึ่งด้วยจุดเด่นนี้ทำให้ที่นี่ได้รางวัลกุญแจมิชลิน 1 กุญแจ และอยู่ใน Top 1000 Hotels 2025 จาก La Liste

ส่วนห้องพักก็เน้นดีไซน์เรียบหรูในโทนสีเขียวที่ดึงเอาเอเลเมนท์ของสวนลุมมาใช้ออกแบบ เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้และดีไซน์ที่ดูทันสมัย เน้นฟังก์ชั่นเป็นหลัก ส่วนห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่โอเพ่นไปสู่ห้องนอนได้เลย

นอกจาก Craft แล้วที่นี่ยังมี Bar.Yard รูฟท็อปบาร์กับเครื่องดื่มสไตล์ทรอปิคอลและอาหารสไตล์อเมริกันบาร์บีคิว, Ms. Jigger ห้องอาหารอิตาเลียน, Ruby Bar บาร์ค็อกเทล และ Stock.Room ออลเดย์ไดนิ่งของโรงแรม

โรงแรมรางวัลกุญแจมิชลิน 1 กุญแจ และสมาชิก Small Luxury Hotels of the World มาในสไตล์ Serviced Residence บนถนนวิทยุ ที่ให้ความรู้สึกเหมือน “บ้านใจกลางเมืองใหญ่” เหมาะกับการพักผ่อนระยะยาว มีทั้งหมด 145 ห้อง ตั้งแต่ Junior Suite ไปจนถึง 3-Bedroom Suite พร้อมห้องครัวและห้องแต่งตัวแบบวอล์กอิน ห้องสวีทได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง Barbara Barry ถ่ายทอดเสน่ห์ตะวันออกและความอบอุ่นแบบไทยๆ ที่นี่ยังมีห้องอาหารฝรั่งเศส Café Claire ที่ให้บริการแบบออลเดย์ไดนิ่งที่เป็นจุดเด่น

โรงแรมรางวัลกุญแจมิชลิน 1 กุญแจ ที่โดดเด่นเรื่องโปรแกรม Wellness ของ Como Shambhala Urban Escape โดยเฉพาะโปรแกรมดูแลเฉพาะบุคคลที่ดูแลโดยนักบำบัดผู้เชี่ยวชาญ พร้อมตัวเลือกทรีตเมนต์อย่างการนวดไทย โยคะ ฟิตเนส โปรแกรมบำบัดอาการแพนิค และโปรแกรมการจัดการเรื่องย่อยอาหารที่จัดการเรื่องโภชนาการโดย Como Shambhala Kitchen ที่นี่ยังมีห้องอาหารไทย nahm มิชลินสตาร์ 1 ดาว นำทีมโดยเชฟพิม เตชะมวลไววิทย์ เสิร์ฟ Heritage Set Menu ที่เปรียบได้กับเทสติ้งเมนูที่มีทั้งคานาเป้ อาหารเรียกน้ำย่อย จานหลัก จนถึงของหวาน

โรงแรมย่านราชประสงค์รางวัลกุญแจมิชลิน 1 กุญแจ ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด โดดเด่นด้วยการออกแบบร่วมสมัยผสมผสานความเป็นไทยอย่างงดงามในโทนสีพาสเทลและเฟอร์นิเจอร์สั่งทำพิเศษ รวมถึงงานศิลปะทำมือและโคมระย้าโดยช่างฝีมือท้องถิ่นที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประเพณีการร้อยพวงมาลัยดอกไม้และพิธีต้อนรับของไทยประเทศไทย

ส่วนของห้องพักโดดเด่นด้วยห้องพัก Premier Club Room และ Club InterContinental โดยเฉพาะวิวแบบพาโนราจากชั้น 37 พร้อมอ่างน้ำวน บาร์ และสระว่ายน้ำ ที่เปรียบได้กับโอเอซิสใจกลางกรุง ด้วยโลเคชั่นกลางเมือง ทำให้ที่นี่เหมาะสำหรับจัดเลี้ยงและการประชุม

แน่นอนว่าที่นี่ยังเด่นเรื่องของอาหารโดยเฉพาะ Summer Palace ห้องอาหารจีนกวางตุ้งที่มีติ่มซำรสชาติดี, SoCal กับมื้ออาหารสไตล์แคลิฟอเนีย, Fireplace Grill and Bar ห้องอาหารยุโรปร่วมสมัยที่เด่นเรื่องสเต๊ก และ Espresso ห้องอาหารออลเดย์ไดนิ่ง

The Standard เป็นแบรนด์โรงแรมสัญชาติอเมริกัน ที่ล่าสุดเข้ามาอยู่ในเครือ Hyatt มีห้องพักทั้งหมด 155 ห้อง ภายในโรงแรมและส่วนของห้องพักทั้งหมดออกแบบโดย Jaime Hayon ศิลปินและนักออกแบบชาวสเปน ที่ใส่ลายเส้นโค้งมน ลายเส้นกราฟิก และการใช้สีสันอย่างสีแดง สีน้ำเงิน และสีเหลืองเข้ามาเป็นสีหลัก เพิ่มความสนุกสนานให้กับโรงแรม เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นออกแบบขึ้นมาโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งด้วยงานศิลปะระดับโลกตามจุดต่างๆ ของโรงแรม ด้วยจุดเด่นที่ว่าทำให้ที่นี่ได้รางวัลกุญแจมิชลิน 1 กุญแจ

อีกจุดเด่นอยู่ที่ห้องอาหารทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ The Standard Grill ห้องอาหารกริลล์สไตล์อเมริกัน, The Parlor บาร์ค็อกเทล, Tease ทีรูมสไตล์อเมริกัน, Ojo Bangkok ห้องอาหารเม็กซิกันบนรูฟท็อป, Mott 32 Bangkok อาหารจีนชื่อดังจากฮ่องกง และ Sky Beach รูฟท็อปบาร์ของโรงแรม

โรงแรมโซ แบงคอก เป็นโรงแรมที่เล่าผ่านสถาปัตยกรรมที่ออกแบบโดยนักออกแบบ 7 คน ได้แก่ คริสเตียน ลาครัวซ์, สมิตร โอบายะวาทย์, พงษ์เทพ สกุลคู, วิฑูรย์ คุณาลังการ, นิธิ สถาปิตานนท์, สมชาย จงแสง และรุจิราภรณ์ หวั่งหลี โดยสร้างสรรค์ผลงานที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสวนลุมพินีและหลักปรัชญาฮวงจุ้ย ผ่านธาตุทั้ง 5 ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไม้ ธาตุโลหะ และธาตุไฟ ความพิเศษของที่นี่ยังอยู่ที่ยูนิฟอร์มพนักงานที่ออกแบบโดยคริสเตียน ลาครัวซ์ แค่คอนเซ็ปต์ออกแบบก็ทำให้ที่นี่ได้รางวัลกุญแจมิชลิน 1 กุญแจ และอยู่ใน Top 1000 Hotels 2025 จาก La Liste ได้ไม่ยาก

ห้องพักและห้องสวีท รวม 237 ห้อง ออกแบบเป็น 4 ธีม ตามธาตุ ธาตุโลหะ ธาตุไม้ ธาตุดิน และธาตุน้ำ พร้อมวิวสวนลุมพินี ซึ่งแต่ละธาตุจะใช้โทนสีและเฟอร์นิเจอร์ที่สื่อถึงแต่ละธาตุ ส่วนธาตุไฟจะถูกนำไปตกแต่งห้องอาหาร Red Oven ที่ใช้ไปในการปรุงอาหารอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมี Soshi ห้องอาหารญี่ปุ่นอีกด้วย

โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ หนึ่งในโรงแรมเก่าแก่ของกรุงเทพฯ ที่มีจุดเด่นตรงที่ภาพวาดฝาผนังชิ้นใหญ่บริเวณล็อบบี้ ซึ่งเป็นผลงานของ 'ท่านกูฎ' ไพบูลย์ สุวรรณกูฎ ที่เล่าเรื่องการสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงและการก่อตั้งราชวงค์จักรี ซึ่งกลายเป็นมุมถ่ายภาพยอดฮิต

ที่นี่มีห้องพัก 354 ห้อง ที่เล่าผ่านสถาปัตยกรรมช่วงทศวรรษ 1980 และวิวของสีเขียวของราชกรีฑาสโมสร ประดับประดาด้วยโคมไฟระย้า ตกแต่งด้วยจิตรกรรมบนผืนผ้าไหมที่วาดลวดลายด้วยมือบริเวณหัวนอน

รวมถึงเต็มไปด้วยห้องอาหารแถวหน้าทั้ง Madison สเต๊กเฮ้าส์ชื่อดัง, Biscotti ห้องอาหารอิตาเลียน, Shintaro ห้องอาหารญี่ปุ่น, Spice Market ห้องอาหารไทย, Guilty ห้องอาหารลาตินอเมริกา และ Aqua Bar บาร์ค็อกเทลในสวนของโรงแรม

นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่จัดงาน World Gourmet Festival Bangkok หรือ เทศกาลอาหารและไวน์ระดับโลก ที่จัดประจำทุกปี โดยรวมเอาเชฟระดับท็อปจากทั่วโลกมาในงานเดียว ทำให้ที่นี่ได้รางวัลกุญแจมิชลิน 1 กุญแจ และอยู่ใน Top 1000 Hotels 2025 จาก La Liste