นึกภาพออกไหมว่าถ้าทีมไวนิลบาร์ที่จริงใจอย่าง Modern-Day Culture เปิดบาร์เพิ่มอีกแห่งจะออกมาแนวไหน? ไม่ต้องเสียเวลาจินตนาการ เพราะบาร์ที่พูดไปเกิดขึ้นจริงแล้วในชื่อ Club Salva ซึ่งอยู่ในตึกเดียวกัน ถัดลงมาอีกหนึ่งชั้นจากร้าน Modern-Day Culture
.
Club Salva ยังคงเป็นการร่วมแรงร่วมใจของทีมเดิมอย่าง ‘แพน-ชวิกา ศรีสวน’ ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ A Pale Petal ผู้หลงใหลในวัฒนธรรมค็อกเทล และ ‘จอย-ณัฐวุฒิ นิลขำ’ หรือ DJ Nanziee ดีเจและนักสะสมแผ่นเสียงมากประสบการณ์ รวมถึงยังได้ ‘ต่วย-ธีฆา พุ่มภัคดี’ มาดูแลเครื่องดื่มเช่นเคย
.
ถึงจะเป็นทีมเดิมยกแผงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบาร์ใหม่แห่งนี้จะไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น เพราะเพียงแค่ผลักประตูสีแดงเข้าไปคุณก็จะพบกับบรรยากาศใหม่ๆ ที่ Modern-Day Culture ก็ให้ไม่ได้ กล่าวคือ เป็นบาร์ที่ให้ความรู้สึกเฟรนด์ลี่มากขึ้น และในขณะที่บาร์ด้านบนดูค่อนข้างโต ที่นี่กลับให้ไวบ์ที่ดูเด็กลง ดูสนุกได้มากขึ้นส่วนนี้ต้องยกความชอบให้การออกแบบและตกแต่งภายในโดย @aiminterior.design ซึ่งเป็นลูกค้าประจำของบาร์ด้านบน และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการทำในสิ่งที่คาแร็กเตอร์อันชัดเจนและดีในแบบนั้นอยู่แล้วของ Modern-Day Culture ไม่สามารถทำได้
.
แพน เล่าว่า จริงๆ ไอเดียของร้านนี้ผุดขึ้นมาตั้งแต่เริ่มทำบาร์แรกได้ 3-4 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ได้เรียนรู้ว่าการเปิดบาร์นั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ทีมจึงใช้เวลาหลังจากนั้นฟูมฟักและเตรียมความพร้อมในหลายๆ ด้านเพื่อให้บาร์ใหม่ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดตามแนวทางที่คิดไว้
.
สิ่งที่ Club Salva ต้องการนำเสนอคือ ‘ความแปลกใหม่ที่เข้าถึงง่าย’ ถ้าเปรียบกับงานศิลปะก็คงเป็นผลงานของ Salvador Dalí (1904-1989) ศิลปินเซอร์เรียลลิซึ่มชาวสเปน เจ้าของผลงานภาพวาด The Persistence of Memory (1931) อันโด่งดัง และเพื่อให้สารนั้นแข็งแรงยิ่งขึ้นพวกเขาจึงนำชื่อของศิลปินมาตั้งเป็นชื่อร้าน อีกนัยหนึ่ง Salva ในภาษาสเปนและอิตาลียังมีความหมายในเชิงว่าปลอดภัยได้ด้วย ซึ่งรวมๆ แล้วจะแปล Club Salva ว่า ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ก็ได้
.
องค์ประกอบสำคัญของ Club Salva ได้แก่ Vinyl (แผ่นเสียงไวนิล), Vino (ไวน์) และ Vinegar-ish (เครื่องดื่มที่เน้นใช้ของหมักดองเป็นส่วนผสม) หรือแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ ก็คือ ‘เพลง’ กับ ‘เครื่องดื่ม’ นั่นเอง เรื่องเพลงแน่นอนว่าที่ร้านยังคงเปิดแผ่นเสียงไวนิล แนวเพลงก็มีตั้งแต่ แจ๊ส เอซิดแจ๊ส มินิมัลเฮาส์ ไปจนถึงดิสโก โดยจะเน้นนำเสนอเพลงใหม่ๆ (เพลงเก่าที่ไม่เคยฟังก็ถือว่าใหม่) ที่อาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักแต่ก็ไม่ได้เข้าถึงยากขนาดนั้นขอเพียงเปิดใจและปล่อยจอย
.
เพิ่มเติมเรื่องเพลงอีกนิดเพื่อให้เห็นว่าร้านให้ความสำคัญกับมันจริงๆ คือด้วยความที่เลย์เอาต์ร้านไม่ได้เป็นห้องสี่เหลี่ยมง่ายๆ ร้านจึงต้องเลือกตำแหน่งของการวางลำโพงให้ดีเพื่อให้ลูกค้าได้ยินเสียงที่คุณภาพดีเหมือนกันไม่ว่าจะนั่งมุมไหนของร้าน เป็นที่มาของการติดตั้งลำโพง JBL วินเทจตัวใหญ่ 1 คู่ที่ผนังร้านฝั่งติดถนนและตัวเล็กอีก 1 คู่ที่ด้านหลังบาร์ ส่วนเครื่องเล่นที่ร้านเลือกใช้ Technics SL-1200 MK5 เครื่องเล่นจากยุค 90 ที่ถือว่าค่อนข้างวินเทจแต่ก็มีฟังก์ชันสำหรับดีเจด้วย
.
สำหรับเครื่องดื่มเรียกว่าน่าสนใจขึ้นเยอะมากเพราะที่ร้านจะเน้นใช้ของหมักดองเป็นส่วนผสม ทำให้เครื่องดื่มแต่ละแก้วมีความคราฟต์มากขึ้น แต่ก็ถือเป็นการเล่นท่ายากที่ท้าทายทั้งคนดื่มและคนทำ ในแง่ของคนดื่มที่อาจจะไม่คุ้นเคยกับรสชาติและกลิ่นแนวของหมักดองในเครื่องดื่มก็อาจจะต้องเปิดใจลอง แต่คนที่ถูกปากถูกคอกับมันก็อาจจะหลงรักไปหมดซะทุกแก้ว ส่วนในแง่คนทำก็ต้องอาศัยความแม่นยำอย่างมากในทุกกระบวนการตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบหลังบ้านจนถึงตอนชงที่หน้าบาร์
.
จากประสบการณ์ที่ได้ลองชิมเครื่องดื่มซิกเนเจอร์มาราวครึ่งหนึ่งของเมนูทั้งหมด เราพบว่าแต่ละแก้วยังคงคาแร็กเตอร์ของความหมักดองไว้อยู่ บางแก้วออกแนวเซเวอรี แต่ทั้งหมดนั้นมาในเวอร์ชั่นที่เป็นมิตร ไม่ได้ท้าทายคนดื่มมากจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็น
.
🌸Plum (400 บาท) เครื่องดื่มเบสวิสกี้และไวน์ขาว มีส่วนผสมของโทนิกรสเบอร์รี่ที่ถูกนำไปอินฟิวส์กับบ๊วย เสิร์ฟพร้อมโฟมปลาโอแห้งด้านบนแก้วและตกแต่งด้วยใบชะพลูสด
.
🥒Glided Green (400 บาท) แก้วนี้ใช้เตกิลาเป็นเหล้าเบส ผสมกับน้ำแตงกวาที่ถูกนำไปหมักกับน้ำตาลจนเกิดแก๊สธรรมชาติที่ให้มีความซ่านิดๆ มีกลิ่นแตงกวาอ่อนๆ เพิ่มรสชาติด้วยมะแขว่นคั่วกับเกลือที่ขอบแก้ว
.
🥭Fruit Salsa (400 บาท) ความสดชื่นลงตัวของรัม ลิเคียวร์ลิ้นจี่ สับปะรดหมัก หอมแดงดองกับพริกไทยดำและน้ำส้มสายชู
.
🍍Tepache (440 บาท) ค็อกเทลที่นำเสนอภูมิปัญญาการหมักสไตล์เม็กซิโก โดยมี ‘เตปาเช’ ที่ทำจากเปลือกสับปะรดหมักกับน้ำตาลเป็นส่วนผสมหลัก ตามด้วยไวน์ขาวและแอปเปิ้ลไซเดอร์
.
อีกหนึ่งความน่าสนใจของร้านคือ อีเวนต์ Out of Bound ที่จะเชิญคนหลากหลายอาชีพนอกวงการค็อกเทลมายืนเป็นบาร์เทนเดอร์ 1 คืนเพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ จากมุมมองของคนอื่นที่อยู่นอกกรอบของคนเป็นบาร์เทนเดอร์ โดยที่ร้านจะรับไอเดียของคนเหล่านั้นมาแล้วนำมาปรับจนได้สูตรค็อกเทลที่เจ้าของไอเดียชอบ สามารถทำได้จริง และลูกค้าก็น่าจะชอบ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีทั้งเจ้าของแบรนด์แฟชั่นและช่างสักมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอีเวนต์ ครั้งต่อๆ ไปจะเป็นใครสามารถติดตามได้ที่อินสตาแกรม @clubsalva