เริ่มต้นตั้งแต่คาวไปจบหวาน หรือจะดื่มต่อก็ครบจบได้ที่บรรทัดทอง และนี่คือ 32 ร้านบรรทัดทองที่เราอยากบอกต่อ จะมีร้านไหนบ้าง และทีเด็ดของแต่ละร้านที่ควรลองนั้นคืออะไร เข้าไปดูพร้อมๆ กันเลย
เมนูแนะนำเลยต้องเป็นนมนัวสเลอปี้ ราคา 65 บาท ที่ปั่นเนื้อละเอียด หวานนิดๆ เข้มข้นสมชื่อร้านนมนัว
ร้านโทสต์ยอดฮิตที่ถ้าใครมาบรรทัดทองช่วงนี้ไม่ควรพลาดไปต่อคิว! ที่นี่เป็นร้านแบบโอเพ่นแอร์ที่เปิดขายเฉพาะรอบเย็นเท่านั้น เมนูซิกเนเจอร์คือ คาราเมลโทสต์ (139 บาท) ที่นำขนมปังแผ่นหนาไปทอดบนกระทะกับเนยคาราเมลสูตรโฮมเมดของทางร้าน พร้อมท็อปปิ้งด้านบนด้วยไอศกรีมนมฮอกไกโด เราค่อนข้างชอบโทสต์ร้านนี้เป็นพิเศษเพราะรสชาติไม่หวานแบบตัดขา ส่วนตัวขนมปังก็เนื้อเหนียวนุ่มถูกใจเด็กอ้วนอย่างเรามากๆ
คาเฟ่ไอศกรีม ตกแต่งสไตล์จีน เน้นโทนสีเขียวเข้มตัดกับสีขาว สบายตา ร้านนี้มีเมนูขายดีเป็นไอศกรีมโฮมเมด มีให้เลือก 3 เซ็ต คือ เซ็ตหมั่นโถวทอด (89 บาท) เป็นเมนูที่ขายดีที่สุดในร้าน เช็ตหมั่นโถวนึ่ง (79 บาท) และพุดดิ้งนม (79 บาท) แต่ละเซ็ตเราสามารถเลือกรสชาติไอศกรีมได้ตามใจชอบ แต่ที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้านก็คือรสเกาลัด และรสถั่วตัด ส่วนรสอื่นๆ ก็จะเน้นความแปลกใหม่ เช่น นมชมพูถั่วแดง น้ำเต้าหู้งาดำ ชานมไต้หวัน และไมโลโรงเรียน ส่วนเครื่องดื่มขายดีจะเป็น Apple Sidra (65 บาท)
ร้านขนมปังของ ‘คุณเด็ด’ เจ้าของร้านที่เปิดร้านจากความชอบและอยากกินของตัวเองมาตั้งแต่ปี 2016 ก่อนจะปังขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้มีมากถึง 4 สาขา (สีลม, อโศก, บรรทัดทอง และโชคชัยสี่) เมนูเด็ดของปังเด็ด คือขนมปังปิ้ง กรอบนอกนุ่มใน ไส้ทะลัก ราคาเริ่มต้นแค่ 20 บาท ซึ่งเป็นขนมปังที่เจ้าของร้านอบเองกับมือ ก่อนนำไปย่างด้วยเตาถ่าน กินคู่กับเครื่องดื่มที่ร้านที่มีทั้งซอฟต์ดริงก์ และกาแฟที่เจ้าของร้านลงทุนไปศึกษาด้วยตัวเองถึงเชียงใหม่เพื่อให้ได้กาแฟคุณภาพดีและราคาไม่แรง
เจ้วรรณคือร้านของหวานที่เป็นมิตรกับคนรักสุขภาพ เพราะเมนูของร้านจะเป็นพวกน้ำเต้าหู้ เต้าทึง เต้าฮวย บัวลอย เฉาก๊วย ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกเครื่อง เลือกน้ำ เลือกความหวานแบบที่ต้องการได้เลย ที่นี่จะทำน้ำเต้าหู้เองทุกขั้นตอนตั้งแต่การคัดถั่วเหลือง ราคาเริ่มต้นแค่ 12 บาท เท่านั้น
ตุ้งแฉ่เตาถ่านคือร้านผัดซีอิ้วที่สืบทอดมายาวนานถึง 60 ปี ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของทายาทรุ่นที่ 3 แล้ว เมนูเด็ดของร้านนี้คือ ‘เหลาะหนี’ (50 บาท) หรือราดหน้าใส่นม ซึ่งคำว่า เหลาะหนี ในภาษาจีน แปลว่า ‘ใส่นม’ ซึ่งเป็นสูตรที่ลองทำกินกันในครอบครัวก่อนจะมาทำขายและแพร่หลายอย่างทุกวันนี้ เคล็ดลับความอร่อยของร้านนี้อนู่ที่การใช้น้ำมันหมูและผัดด้วยเตาถ่านเท่านั้น ทั้งเหลาะหนี ผัดซีอิ๊ว และราดหน้าจึงมีกลิ่นหอม และรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ หากินได้ที่นี่ที่เดียว
ร้านเจ๊เกียง ร้านดังเจ้าเก่าจากสะพานเหลือง ที่ย้ายมาเสิร์ฟความอร่อยอยู่ริมถนนบรรทัดทอง ซอยจุฬาฯ 6 เมนูที่ร้านจะมีทั้งแบบเป็นกับข้าวและอาหารตามสั่ง ซึ่งของขึ้นชื่อของร้านนี้ก็คือเป็ดและห่านพะโล้ที่ไม่ว่าจะเอาไปทำอะไรก็อร่อย ซึ่งเมนูแนะนำก็คือ ห่านพะโล้ (250 บาท) เป็ดพะโล้ (200 บาท) ไส้แก้ว (100 บาท) และปีกเป็ดอบหม้อดิน (150 บาท) เป็นอีกร้านที่เราประทับใจทั้งรสชาติและราคา ใครแวะมาแถวนี้ อย่าลืมแวะฝากท้อง
ร้านหมูสะเต๊ะที่เปิดขายมานานกว่า 80 ปี มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครและเป็นเจ้าแรก เจ้าเดียวในประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้ นั่นคือการเสิร์ฟสะเต๊ะคู่กับ ‘น้ำจิ้มดำ’ รสชาติกลมกล่อม สูตรเด็ดที่เจ้าของร้านใช้ซีอิ๊วดำเค็มเจ้าประจำมาปรุงรสเพิ่มจนได้ที่แล้วใส่หัวหอมแขกและพริกขี้หนูลงไป ส่วนสะเต๊ะที่ร้านนี้มีให้สั่ง 3 อย่างคือ หมู ไก่ และตับ ราคาไม้ละ 11 บาท ที่หมักด้วยเครื่องเทศยาจีน เสียบไม้ย่างบนเตาถ่านจนได้สีเหลืองน่าทาน
หลายคนอาจคิดว่าบรรทัดทองมีแต่อาหารทำลายสุขภาพหรือสตรีตฟู้ดคุณภาพไม่สมราคา แต่เราบอกเลยว่าจริงๆ แล้วย่านนี้เขายังมี hidden gem อย่างร้านยักษ์กะโจนอยู่ด้วย ซึ่งความตั้งใจหลักๆ ของร้านนี้คือการเป็น farmer market ที่เชื่อมเกษตรกรทั่วประเทศเข้ากับผู้บริโภคโดยตรง เพราะฉะนั้นโซนหลักของร้านเลยมีวางขายพืชผลทางการเกษตรที่ทั้งปลอดสารพิเศษและหาทานยาก รวมถึงยังนำมาเป็นวัตถุดิบทำอาหารเสิร์ฟในร้านด้วย โดยตัวเมนูก็มีทั้งอาหารไทยและตะวันตก อาทิ เต้าหู้ถั่วเหลืองคั่วพริกเกลือ (160 บาท) สลัดกุ้งธรรมชาติย่างกับผักตามฤดูกาล (240 บาท) และ สเต็กปลาย่างซอสเพสโต้ครีม (340 บาท)
เมนูทานง่าย อย่างโจ๊กร้อนๆ ถ้าจะให้อร่อยและขึ้นชื่อในย่านนี้ ก็ต้องยกให้ โจ๊กสามย่าน ที่เปิดขายมานานถึง 65 แล้วเท่านั้น เมนูแนะนำคือ โจ๊กหมู ใส่ทุกอย่าง ใส่ไข่เค็ม กินคู่กับปลาท่องโก๋กรอบๆ ปรุงรสตามใจชอบ แค่นี้ก็อร่อยแล้ว โจ๊กสามย่าน ทำมาจากข้าวหอมมะลิหักต้มในน้ำเดือด ผสมกับวัตถุดิบที่คัดมาอย่างดี เช่น ไส้หมูที่ต้องต้มให้สุกได้ที่และต้องไม่มีสีเหลือง ตับหมู ที่ต้องไม่มีเลือดปนมา ฯลฯ
กลิ่นควันหอมๆ ของกระทะเผาไฟแรง เส้นใหญ่ เนื้อไก่ ไข่ และซอสปรุงรส โชยมาตั้งแต่เรายังไม่ทันเดินเข้าตรอกเล็กๆ ของซ.จุฬาฯ 3 คั่วไก่ของนี่รสชาตินัวด้วยไก่หมัก ติดเค็มนิดๆ จากซอสปรุงรส ร้านนี้มีทั้งเมนูคั่วไก่เส้นใหญ่แบบออริจินัล (60 บาท) และคั่วไก่เส้นทาโร่ที่ฮิตติดลมบนสุดๆ ใครที่สั่งคั่วไก่แล้วเกิดอยากซดซุปร้อนๆ ด้วย ร้านนี้เขาก็มีก๋วยจั๊บน้ำใส (70 บาท) ที่เด็ดไม่แพ้กันให้สั่ง แนะนำว่าไม่ควรไปช่วงเที่ยง เพราะนอกจากจะร้อนสุดๆ แล้ว (ร้านไม่มีห้องแอร์) ยังรอนานมากๆ เนื่องจากพนักงานออฟฟิศละแวกนั้นชอบไปกินข้าวเที่ยงกันที่ร้านนี้
จริงๆ ที่นี่ขายอาหารตามสั่งหลากหลายเมนูมากๆ แต่ที่เราแนะนำสุดๆ คือเมนูเนื้อทอดน้ำปลาซอสน้ำมันกระเทียม (199 บาท) ซึ่งจุดเด่นของเนื้อทอดน้ำปลาร้านนี้คือเขาเลือกใช้เนื้อริบอายมาทอดแบบใจเย็นบนน้ำปลาผสมน้ำมันเยิ้มๆ ทำให้เนื้อไม่เหนียวและทานง่ายกว่าเนื้อทอดน้ำปลาร้านทั่วไป แถมฟินมากๆ ตรงที่เขาโรยกระเทียมเจียวกรอบๆ มาด้านบนด้วย แต่ข้อเสียคือติดรสเค็มมากๆ น่าจะเหมาะกับการทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ พร้อมสั่งกับข้าวอย่างอื่นมาตัดเลี่ยนด้วย
ร้านลาบก้อยสุดโลคัลที่เด็กจุฬาฯ คลั่งไคล้ กับเมนูที่ต้องลองอย่างลาบก้อยสับมะนาว (110 บาท) เมนูอีสานสำหรับคนใจถึงและสามารถกินเนื้อวัวแบบดิบได้ ซึ่งก้อยสับของที่นี่รสชาติของค่อนข้างทานง่ายสำหรับคนเมือง แต่ถ้าใครอยากได้รสชาติแบบอีสานแท้ๆ ก็สามารถรีเควสให้ใส่ดีวัวหรือขมลงไปด้วยก็ได้ ส่วนเมนูสำหรับคนไม่กินเนื้อดิบที่ควรสั่งมากๆ อีกอย่าง คือเสือร้องไห้ย่าง (110 บาท) ซึ่งจุดเด่นคือเขาจะสไลด์เนื้อมาเป็นแผ่นบางมากๆ และย่างจนผิวด้านนอกกรอบฉ่าทุกชิ้น
ร้านหมูสะเต๊ะที่เปิดขายมานานถึง 38 ปี ร้านนี้ ตั้งอยู่ ซอยจุฬาฯ 6 ขายหมูสะเต๊ะปิ้งเตาถ่านหอมๆ ไม้ละ 9 บาท เสิร์ฟร้อนๆ คู่กับน้ำจิ้มถั่ว หอม มัน และและอาจาด ด้วยความที่ใช้เตาถ่านมนการปิ้ง เนื้อหมูสะเต๊ะสีเหลืองน่าทานจึงมาพร้อมกับความหอมยั่วน้ำลายสุดๆ
ร้านข้าวต้มปลาเจ้าดังที่ได้อยู่ในเล่ม Michelin Guide 7 ปีซ้อน สาขานี้แยกออกมาจากร้านสาขาแรกตรงหน้าโรงแรมชาเทรี่ยม-เจริญกรุง เสิร์ฟข้าวต้มปลาและข้าวต้มทะเลแบบง่ายๆ แต่รสชาติอูมามิมากๆ ส่วนตัวเราชอบตัวข้าวต้มปลากะพงที่เนื้อปลามีความสดมากๆ ทำให้มีเท็กซ์เจอร์เด้งดึ๋งสู้ฟัน ไม่เปื่อยยุ่ย ส่วนข้าวต้มปลาเต๋าเต้ยก็คือคุณค่าที่คนบรรทัดทองคู่ควร ทานคู่กับกระเทียมเจียวหอมๆ ที่ทางร้านโรยมาให้ก็คือฟินสุดๆ หรือจะฟินกว่านั้นด้วยการสั่งท็อปปิ้งเป็นหนังปลากรอบก็ได้เหมือนกัน
เมนูร้านนี้มีให้เลือกสั่งหลากหลายทั้งโจ๊ก ก๋วยเตี๋ยว เล้งแซ่บ แต่เมนูขึ้นชื่อก็คือ ‘ข้าวต้มแห้ง’ (ธรรมดา, ต้มยำ) ซึ่งลูกค้าสามารถสั่งเพิ่มท็อปปิ้งได้ตามต้องการ ซึ่งมีให้เลือกกว่า 20 รายการ เช่น ไข่ลวก ไข่ดาว ไข่เค็ม ไข่เยี่ยวม้า ปาท่องโก๋ กากหมู ซี่โครงหมู กระดูกเล้ง กุ้งแม่น้ำ บะเต็ง ซีฟู้ด ฯลฯ ราคาข้าวต้มเริ่มต้นที่ชามละ 60 บาท ส่วนราคาท็อปปิ้งเริ่มต้นที่ 10 บาท นอกจากที่ถนนบรรทัดทอง ร้านยังมีอีก 2 สาขาอยู่ที่โชคชัย 4 และนนทบุรี
ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาเจ้าเก่าที่มีทีเด็ดอยู่ที่เมนูเย็นตาโฟแห้ง
ร้านนี้ตั้งอยู่ปากซอย ขายมาตั้งแต่รุ่นอากง รวมๆ แล้วเกือบ 60 ปี ทีเด็ดอยู่ที่ลูกชิ้นแคะ ซึ่งมีให้เลือกทั้ง ลูกชิ้นหมูทอดกรอบ ลูกชิ้นหมูนึ่ง ลูกชิ้นกุ้ง ฮือก้วย (ปลาเส้น) ลูกชิ้นเต้าหู้ขาว ลูกชิ้นเต้าหู้เหลือง จะสั่งเพิ่มพิเศษในก๋วยเตี๋ยว หรือสั่งเฉพาะลูกชิ้นมากินกับน้ำจิ้มก็ได้ ราคา 6 ลูก 10 บาท (ยกเว้นฮือก้วย เส้นละ 30 บาท)
ไปไม่ถึงบรรทัดทองแน่นอน ถ้าไม่ได้แวะซื้อขนมไข่เจ้าดังอย่าง Haab ที่ตอนนี้มีหน้าร้านถึง 2 ที่แล้วบนถนนบรรทัดทอง ใครที่อยากแวะซื้อพร้อมทำคอนเท้นต์ เราแนะนำให้เดินเข้าไปซื้อตรงซ. จุฬาฯ 14 จะได้ความออริจินัลที่สุด โดยขนมไข่ของที่นี่เป็นขนมไข่ต้นตำรับสูตรจังหวัดสงขลา โดดเด่นด้วยกลิ่นหอมเตาถ่านและความชุ่มเนยขั้นสุดแบบกัดคำแรกก็ได้รสเนยก่อนรสแป้งซะอีก
ร้านขนมหวานน้องใหม่จากแบรนด์ Haab ที่แตกไลน์ออกมาขายขนมหวานลูกครึ่งฝรั่ง-เกาหลีกันบ้าง จากที่แต่เดิมขายเฉพาะขนมไทยอย่างขนมไข่ ตอนนี้ที่หน้าร้านห้องแถวติดกัน เราก็จะเห็นคิวยาวอีกแถว ซึ่งเป็นแถวของร้าน Layers โดยเฉพาะ ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ได้ต่อคิวนานอย่างที่คิด เพราะขนมเค้กของร้านนี้จะถูกบรรจุอยู่ในถ้วยพลาสติกใสให้เห็นเลเยอร์ของแต่ละชั้นอยู่แล้ว แต่ที่ต้องต่อคิวเพราะเขาจะราดน้ำตกช็อกโกแลตเบลเยียมลงมาด้านบนก่อนเสิร์ฟให้ลูกค้า ถึงตัวช็อกโกแลตจะไม่ได้เข้มข้นอย่างที่คิด (แอบหวานไปนิดด้วยซ้ำ) แต่พอกินคู่กับครัมเบิ้ลและสตรอเบอร์รี่ในถ้วย ก็ถือว่าคุ้มราคาอยู่นะ
บาร์ค็อกเทลที่ซ่อนอยู่บนร้านเนื้อ Kemuri อีกที มาในมู้ดเรียบง่ายกลิ่นอายญี่ปุ่นนิดๆ จุดเด่นของค็อกเทลที่นี่จะมาในรูปแบบ ‘กลิ่น’ ซึ่งได้มาจากวัตถุดิบและส่วนผสมหลักในแต่ละแก้ว ทั้งผลไม้ ดอกไม้ ไปจนถึงกลิ่นหอมสกัดจาก edible perfume และไม้หอม ซึ่งก็ลิ้งก์กับชื่อร้าน Kodo ที่แปลว่าควันนั่นเอง
บาร์ลับหลังตู้ถ่ายรูปกลับมาเปิดแล้วบนโลเคชั่นใหม่กลางถนนบรรทัดทอง พร้อมเสิร์ฟดริงก์ที่ได้แรงบันดาลใจจากคอร์ดดนตรี และยังอัปเกรดทางเข้าร้านจากที่เคยเป็นตู้ถ่ายรูปธรรมดาๆ ให้ดูเป็นร้านถ่ายรูปริมถนนร้านนึงไปเลย และจริงจังถึงขั้นที่ว่า เข้ามาถ่ายรูปกันได้จริงๆ มีพร็อปให้เสร็จสรรพ ส่วนการตกแต่งด้านในร้านยังเน้นโทนสีน้ำตาล ภาพรวมยังคงสวยและน่านั่งเหมือนเดิม ส่วนเครื่องดื่มที่เปิดตัวด้วยคอนเซ็ปต์ 7 Chords ก็มีเมนูน่าลองอย่าง D Sharp (D#) (380 บาท) ทวิสต์มาจาก Salty Dog ที่ทางร้านเปรียบให้เป็นคอร์ด D Major แก้วนี้เป็นดริงก์สไตล์มิลก์พันช์ มีส่วนผสมของรัมและเวอร์มุธ ตามด้วยกลิ่นและรสชาติของเกรปฟรุ้ตและสตรอวเบอร์รี่
หนึ่งในร้านคุณภาพดีที่ช่วยยกระดับย่านบรรทัดทองให้ดูเลเวลอัปขึ้นมาอีกหลายสเต็ป ที่นี่เขาโดดเด่นเรื่องเมนูสไตล์ญี่ปุ่น ทั้งข้าวหน้าเนื้อย่างเตาถ่าน ไปจนถึงเซ็ตไฮไลต์อย่างสุกี้ยากี้เนื้อ ที่จะเสิร์ฟหม้อไฟซุปสุกี้ยากี้มาพร้อมเนื้อสไลด์ลายสวยเกรดพรีเมียม ไข่ดิบ และข้าวสวยร้อนๆ โดยข้าวสวยของร้านนี้เลือกใช้ข้าวโฮชิฮิคาริ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นราชาของข้าวสายพันธุ์เมล็ดสั้นจากญี่ปุ่น
ร้านเครื่องดื่มสุดโลคัลที่หยิบเอาเมนูน้ำเต้าหู้มาเป็นพระเอกของร้านโดยเฉพาะ เราชอบน้ำเต้าหู้ของร้านนี้เพราะเป็นน้ำเต้าหู้บอดี้แน่นๆ เหมาะจะแวะมานั่งดื่มเพลินๆ หลังทานของคาวเสร็จ มีให้เลือกตั้งแต่น้ำเต้าหู้ล้วนๆ ไปจนถึงน้ำเต้าหู้เกล็ดน้ำแข็ง (55 บาท) และ บัวลอยน้ำเต้าหู้สามใบเถา (60 บาท)
พื้นที่ร้านอาหาร คาเฟ่ และ co-working space ของ The Food School Bangkok โรงเรียนฝึกการประกอบอาหารนานาชาติในเครือดุสิตธานีย่านจุฬา-บรรทัดทอง ที่โฟกัสเรื่องคอมมูนิตี้ด้านอาหารและเครื่องดื่มโดยเฉพาะ ซึ่งพื้นที่ Test Kitchen ที่ชั้น 1 ของโรงเรียนแห่งนี้ ตั้งใจให้นักเรียนได้มาปล่อยของกันแบบเต็มที่ผ่านห้องครัว-บาร์ ที่เสิร์ฟและขายจริงให้ลูกค้า เลยจะเห็นได้ว่าเมนูแต่ละอย่างมีความครีเอทีฟมากๆ เรียกได้ว่าคนที่มานั่งทานเครื่องดื่มและอาหารที่นี่ จะได้ชิมอาหารและเครื่องดื่มจากฝีมือว่าที่เชฟในอนาคต และตัวนักเรียนเองก็จะได้เรียนรู้สกิลการบริหารหน้างานจริงอีกด้วย
มองจากภายนอกร้าน หลายคนอาจคิดว่า Ginger Bowl เป็นร้านคาเฟ่ขนมหวานธรรมดาๆ แต่เราบอกเลยว่าร้านนี้คืออีกหนึ่ง hidden gem ที่ดีงามอย่างคาดไม่ถึง โดยจริงๆ แล้ว ร้านนี้เป็นร้านอาหารจีนสไตล์ฮ่องกงที่มีขนมหวานขาย ซึ่งขนมหวานคืออร่อยไม่แพ้อาหารคาว โดยจะแบ่งเปิดเป็นรอบกลางวันและรอบเย็น เสิร์ฟหลากหลายเมนูอาหารคาวที่ทั้งหาทานยากและรสชาติถูกใจเหล่าลูกคนจีนแบบฟินนาเล่มากๆ ทั้งราดหน้าปลาเต้าซี่ (280 บาท) ก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้งสด (190 บา) และเกี๊ยวกุ้งนึ่งคะน้าน้ำมันหอย (240 บาท) ส่วนของหวานที่เราชอบมากคือ เต้าหู้จินเจอร์เซ็ต (280 บาท) ที่นำเต้าหู้ไปทอด ก่อนจะคลุกถั่วและงาเพื่อเสิร์ฟเป็นของหวาน