กำแพงปูนเปลือยที่ดูเรียบง่ายอย่างมีนัยยะในย่านศาลาแดง เป็นทางเข้าที่บ่งบอกถึงตัวตนและคาแรกเตอร์ของ ‘Cento’ ร้านอาหารอิตาเลียนเปิดใหม่ได้เป็นอย่างดี เพราะคอนเซปต์ร้านนี้คือไม่ได้ต้องการขายความหรูแบบตะโกนดังๆ แต่เป็นความหรูที่กระซิบเบาๆ ตามสไตล์คนเทสต์ดีเขาทำกันต่างหาก
‘Cento’ คือโปรเจกต์ร้านอาหารของนักลงทุนชาวสเปนอย่าง Manuel Palacio ผู้ก่อตั้ง Pirata Group และเป็นเจ้าของร้านชื่อดังกว่า 27 แห่งบนเกาะฮ่องกง โดยในเครือนี้มีทั้งร้านอาหารอิตาเลียน ญี่ปุ่น สแปนิช อินเดียน ไปจนถึงอาหารเปรู
สำหรับ Cento ที่ถือเป็นร้านอาหารแรกของ Manuel Palacio ในไทยนั้นมีคอนเซปต์ที่จะว่าลึกก็ลึก จะว่าเข้าใจง่ายก็เข้าใจง่าย อธิบายคร่าวๆ คือเป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่ไม่ได้ยึดติดกับเมนูท้องถิ่นของแต่ละแคว้น แต่โฟกัสไปที่การชูวัตถุดิบประจำฤดูกาลและปรุงรสชาติแบบอิตาเลียนดั้งเดิม จับคู่กับไวน์ลิสต์คัดสรรจากทั่วโลกกว่า 100 ตัว และอิตาเลียนคลาสสิกค็อกเทลที่คนไทยกว่าครึ่งยังไม่รู้จัก
Cento เปิดตัวพร้อมมาตรฐานการบริการที่เขาเรียกว่า ‘Hospitality House’ คือบริการดีแบบร้านอาหารหรู แต่ในขณะเดียวกันก็อบอุ่นเหมือนมาบ้านเพื่อน (รวยๆ ฟีลแบบการบริการใน Soho House) เป็นรูปแบบการการบริการที่สะท้อนวัฒนธรรมด้านการกินดื่มที่ยาวนานของชาวอิตาเลียน นอกจากนั้น เจ้าคอนเซปต์ Hospitality House นี้ยังถูกจับไปสื่อสารผ่านความน้อยแต่มากที่เราจะเห็นได้จากทั้งในเมนูอาหารและการตกแต่ง
เปิดประตูร้านเข้าไปด้านในแล้วจะพบกับพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่หลังกำแพงปูนเปลือยหน้าตาธรรมดาๆ เปิดโล่งด้วยการเปิดฝ้า และอบอุ่นด้วยเฟอร์นิเจอร์โทนสีไม้ธรรมชาติ และรายละเอียดการตกแต่งฟีลบ้านอิตาเลียนที่มีคานไม้ เป็นการตกแต่งที่ลงตัวพอดิบพอดี ไม่ได้หวือหวาเกินความจำเป็น
ที่นี่ยังมีส่วนต่อขยายที่ถูกออกแบบมาให้รับแสงธรรมชาติได้เต็มที่ ฟีลเหมือนนั่งอยู่ในสวนริมหาดที่บาหลีเบาๆ และยังสามารถเดินต่อไปยังห้องไพรเวทและห้องเก็บไวน์ได้อีกด้วย โดยดีไซน์ทั้งหมดนี้ถูกออกแบบโดย Max Trullas Moreno จาก MTM Design Studios
มาในส่วนพาร์ตอาหารกันบ้าง อย่างที่เราเกริ่นไปแล้วว่าร้านนี้เขาเลือกออกแบบเมนูจากวัตถุดิบประจำฤดูกาลที่อิมพอร์ตมาในช่วงนั้น โดยได้ Mutaro Balde เชฟโปรไฟล์ดีที่จบการศึกษาจากโรงเรียนสอนทำอาหารถึง 2 แห่ง คือ Joël Robuchon และ Ecole Ducasse มารังสรรค์อาหารแต่ละจานในฉบับเฉพาะตัว จุดเด่นหลักคือเป็นอาหารอิตาลีค่อนไปในทางคลาสสิก แต่ก็แอบใส่ความทวิสต์ลงไปแบบไม่ได้พยายามประดิษฐ์เยอะในบางจาน
เริ่มจากเมนูเรียกน้ำย่อยน่าลองคือ Hamachi Crudo (550 บาท) ที่ใช้เนื้อปลาประจำฤดูกาลอย่างฮามาจิจากญี่ปุ่น มาทำให้หายคาวด้วยกลิ่นสมุนไพรอิตาลีหลายชนิด บัลซามิก และโอลีฟออยล์นำเข้าโดยตรงจากอิตาลี และใส่ความเอเชียนนิดๆ ด้วยผิวส้มยูซุ
ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือเมนูในหมวดหมู่กริลล์ของร้านนี้ที่เชฟ Mutaro ค่อนข้างให้ความสำคัญกับถ่านไม้และเตากริลล์ส่งตรงจากอิตาลีเป็นพิเศษ ทำให้สารพัดเมนูจานย่างของร้านนี้มีกลิ่นสโม้กที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็น Bistecca alla Fiorentina (3,880 บาท) สเต็กจานยักษ์สไตล์แคว้นทัสคานีที่ใช้เนื้อทีโบนจากฟาร์มวากิวที่ภาคอีสานมาย่างด้วยไฟแรงจัดจนผิวด้านนอกกรอบ รวมถึงสารพัดอาหารทะเลย่างทั้ง Octopus (800 บาท) ที่ใช้หนวดหมึกยักษ์มาย่างคู่กับน้ำมันพริกแห้ง และ Agnolotti (890 บาท) ที่เป็นพาสต้ายัดไส้ผักและครีมชีส เสิร์ฟพร้อมกุ้งแม่น้ำย่างคู่กับหอยตลับ ก็เรียกได้ว่าเกือบทุกจานเป็นการเอาวัตถุดิบที่พรีเมียมมาดึงรสชาติได้อูมามิเต็มปากเต็มคำถึงใจคนไทยมากๆ
ถัดมาที่ Grilled Cabbage (320 บาท) เมนูสุ่มเสี่ยงที่ถ้าใครทำไม่เป็นคือไม่อร่อยแน่นอน แต่ที่นี่ทำกะหล่ำออกมาได้ฉ่ำซอสและไม่เละจนเกินไป ความเจ๋งคือเขาเอาไปกริลล์กับเนยแอนโชวี่เพื่อรสติดเค็มนิดๆ และโรยหน้าด้วย Guanchale หรือเบค่อนคอหมูสัญชาติอิตาลี ส่วนเมนูเข้าใจง่ายอย่าง Grilled Broccolini (190 บาท) ก็ถือเป็นอีกจานผักตามฤดูกาลที่ย่างออกมาได้กรอบกรุบชุ่มซอส ควรค่าแก่การสั่งมาแชร์บนโต๊ะ
ตบท้ายมื้ออาหารด้วยอิตาเลียนค็อกเทลตัวลึกที่ทางร้านตั้งใจหยิบเอามาเสิร์ฟให้นักดื่มชาวไทยลองชิม อาทิ Negroni Sbaliato (420 บาท) หนึ่งในไม่รู้กี่ร้อยรูปแบบของเนโกรนีที่คนอิตาลีคิดค้นขึ้น โดยตัวนี้จะนิยมเติม prosecco wine ลงไปด้วย หรือถ้าใครอยากดื่มอะไรที่สดชื่นหน่อย เราก็แนะนำให้สั่งตัว Bellini Harry’s (380 บาท) มาจิบได้เลย เพราะนี่คือค็อกเทลเฉพาะถิ่นของเมืองเวนิส ที่โดดเด่นด้วยเบส prosecco wine ผสมกับ puree ลูกพีช