Sundry คือร้านที่รวมทั้งเรื่องกิน ดื่ม ศิลปะ และแฟชั่นไว้ในที่เดียว ซึ่งทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ในตึก 4 ชั้น สีส้มอิฐที่ตกแต่งด้วยสไตล์ Thai Contemporary จุดที่โดดเด่นที่สุดคือเสาฟาซาด มีการนำสถาปัตยกรรมของเสาโบสถ์วัดไทยมาลดทอนรายละเอียดเพื่อให้ดูร่วมสมัยมากขึ้น (และไม่ขัดใจผู้หลักผู้ใหญ่หัวใจถวายวัดแน่นอน) และอาคารทั้งหลังจะถูกตกแต่งทั้งภายนอกภายในด้วยอิฐไทยสีส้มอันเป็นเอกลักษณ์
ก่อนหน้านี้คุณ Shaun Ling (ชอร์น หลิง) หุ้นส่วนหลักของร้าน เคยเปิดร้านหมูแดดเดียว (sun-dried pork) ขายแก้เบื่อช่วงโควิด-19 พอมาเปิดร้านที่เป็นความชอบของตัวเองจริงๆ ก็เลยนำชื่อ Sundry มาใช้เป็นกิมมิกน่ารักๆ และถ้าสังเกตที่โลโก้ร้านจะเห็นว่าตัว U จะมีลักษณะเป็นครึ่งวงกลมและมีขีดอยู่ด้านล่าง ซึ่งคุณชอร์นบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์กับเนื้อหมู
นอกจากนี้ Sundry ยังเป็นการเล่นคำกับ sundries ที่แปลว่า จิปาถะ เบ็ดเตล็ด ซึ่งคุณชอร์นบอกว่าเป็นคำที่สื่อถึงความหลากหลายของไวบ์ในตึกนี้
แต่ละชั้นของ Sundry จะมีฟังก์ชั่นแตกต่างกัน รวมถึงไวบ์ที่ถูกออกแบบตามช่วงเวลาของดวงอาทิตย์ เริ่มตั้งแต่อาร์ตสเปซที่ชั้น 1 ใช้ชื่อว่า Sunrise Room พื้นที่สำหรับคนกลางวัน เป็นที่จัดแสดงศิลปะแบบหมุนเวียนและอีเวนต์ของร้านที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตอนนี้เปิดให้บริการแล้วพร้อมๆ กับบาร์ ส่วนชั้น 2 คือ Sunkiss Room เป็นพื้นที่ของร้านอาหารสไตล์ไทย-ทาปาสที่กำลังจะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้
เดินตามเสียงเพลงขึ้นไปที่ชั้น 3 จะพบกับ Studio Bar ที่เปรียบเหมือนช่วงพลบค่ำซึ่งสีของท้องฟ้าจะออกโทนน้ำเงินอมแดงเข้มๆ ชั้นนี้คือพื้นที่ของบาร์ เน้นที่นั่งหน้าบาร์ แต่ถ้ามากันเป็นกลุ่มอยากนั่งเป็นโต๊ะจะมีที่ชั้น 4 หรือ Soleil Lounge ห้องที่ตกแต่งโดยได้แรงบันดาลใจมาจากช่วงพระอาทิตย์ตก
ทำความรู้จักสเปซกันไปครบทุกชั้นแล้ว มาพลิกดูเมนูเครื่องดื่มกันหน่อยดีกว่า ค็อกเทลซิกเนเจอร์ของ Sundry ถูกออกแบบโดย ‘นนท์-วรากร มธุรันยานนท์’ ผู้จัดการบาร์ ต้องการสื่อสารความเป็นกรุงเทพฯ (และไทย) ในแง่มุมต่างๆ มีความหยิกแกมหยอกแบบแสบๆ คันๆ โดยแบ่งเป็น 5 หมวด