สถานีต่อไปพร้อมพงษ์ ใครนัดเพื่อนมาแฮงเอาต์ที่ซอยสุขุมวิท 24 ลงที่สถานีนี้! นี่คืออีกซอยในกรุงเทพฯ ที่สายปาร์ตี้น่าจะคุ้นเคยกันดีไม่แพ้เอกมัย-ทองหล่อ เพราะในซอยเล็กๆ ที่เชื่อมระหว่างถนนสุขุมวิทกับถนนพระราม 4 แห่งนี้ มีบาร์ค็อกเทลให้นั่งตั้งแต่ปากซอยยันท้ายซอย ทั้งร้านลับ ร้านใหม่ ร้านดัง ซอยนี้มีครบ
Mutual Bar เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2020 และประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องจนทุกวันนี้กลายเป็นร้านที่ใครจะนัดเพื่อนไปแฮงเอาต์ที่ซอยสุขุมวิท 24 ก็มักจะแวะไปอยู่เสมอ บาร์แห่งนี้เกิดขึ้นจากการรวมตัวของกลุ่มเพื่อนจากหลากหลายอาชีพที่มีความชอบความสนใจต่างกันแต่ชื่นชอบการพบปะสังสรรค์และพูดคุยกัน พื้นที่ของบาร์จึงถูกออกแบบมารองรับทั้งความแตกต่างและความเหมือนดังกล่าว ทำให้คนที่ไม่ใช่นักดื่มก็สามารถแวะมานั่งฟังเพลง อ่านหนังสือ พูดคุยกับเพื่อน ได้อย่างไม่ต้องรู้สึกกดดัน
บาร์ลับที่ซ่อนตัวบนชั้น 3 ของโรงแรม Staybridge Suite สุขุมวิท 24 หน้าร้านต้อนรับด้วยประตูสีแดงที่ซ่อนเขาวงกตขนาดย่อมอยู่ด้านหลัง โดยหลังประตูสีแดงบานแรกคือทางเดินทอดไปยังประตูสีแดงอีกบานที่ชวนให้เข้าใจว่าเป็นทางเข้าก่อนจะพบว่าตัวเองถูกหลอกหลังแง้มไปเจอทางตัน เพราะทางเข้าร้านคือประตูสองบานทางขวามือนั่นต่างหาก ใช่แล้ว มันมีประตูสองบานที่จะพาคุณไปพบกับโลกสองใบเบื้องหลัง และเราจะไม่สปอล์ยคุณไปมากกว่านี้จนหมดสนุกกับกลเกมหาทางเข้าที่เป็นความตั้งใจของเจ้าของร้าน
โลกสองใบในที่นี้หมายถึงการแบ่งโซนบริการตารมคอนเซ็ปต์ Hybrid Har ที่ฝั่งหนึ่งจะเป็นพื้นที่ของร้านอาหารบรรยากาศอบอุ่นกรุ่นกลิ่นอายการตกแต่งที่ชวนให้นึกถึงระเบียงสไตล์ฝรั่งเศส เหมาะกับการดินเนอร์ ตอนนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาเมนูอาหารที่จะเสิร์ฟในอนาคต ส่วนอีกฝั่งคือโลกของการสังสรรค์ เครื่องดื่มทุกชนิดที่ร้านมีและอาหารประเภท small bites จะให้บริการที่ฝั่งนี้ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการเต็มรูปแบบแล้ว
การตกแต่งฝั่งนี้แตกต่างจากโซนร้านอาหารโดยสิ้นเชิง ผนังไม้สีขาวนวลถูกเปลี่ยนเป็นสีดำทำให้ร้านดูลึกลับน่าค้นมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะเมื่อถูกจับคู่กับม่านและโซฟาสีแดงกำมะหยี่เหลือบความหรูหราที่ถูกโรยลงมาจากโคมระย้าทั้งสิบเอ็ดดวงบนเพดาน ซึ่งนอกจากจะมอบกลิ่นอายหรูหราคลาสสิกแบบฝรั่งเศสแล้ว โคมไฟระย้าทุกดวงยังแฝงฟังก์ชั่นพิเศษที่สามารถปรับให้สว่างวาบสลับกันเป็นจังหวะได้ด้วย พื้นที่ของร้านเอื้อให้ทุกคนสนุกไปด้วยกันได้แม้จะนั่งคนละโต๊ะ แต่ถ้าต้องการความเป็นส่วนตัว หลังบูธดีเจจะมีโซนไพรเวตที่รองรับลูกค้าได้ราวสิบกว่าคนโดยมีม่านกั้น
เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของ The Red Door นำเสนอคาแร็กเตอร์ของสีต่างๆ และตัวตนของร้านโดยแบ่งเป็นหมวด Sophisticate ซึ่งจะเน้นเครื่องดื่มที่เข้าใจง่าย ขณะที่หมวด Mystery จะมีความซับซ้อนมากขึ้น และหมวด Elegance ที่จะมีความหนักแน่นและเด่นเรื่องการชูวัตถุดิบ
แก้วที่ชื่อ Chandelier ในหมวด Sophisticate เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการออกตัว แรงบันดาลของแก้วนี้มาจากโคมระย้าที่น่าจะกลายเป็นภาพจำของร้าน เหล้าจินถูกเทลงก่อนตามด้วยไวน์ขาว เพิ่มรสชาติด้วยแอปเปิลคอร์เดียลแล้วจบด้วยโทนิก จากนั้นอาจจะลอง Violetta ค็อกเทลสีม่วงน่าค้นหาที่ได้จากการนำดอกไม้สีม่วงไปอินฟิวส์กับวอดก้าและเติมแต่งความฟลอรัลด้วยซากุระ
ถ้าอยากได้ของกินรองท้องหรือกับแกล้มมาตัดรสชาติเครื่องดื่ม ที่นี่ก็มีอาหารประเภท small bites พร้อมเสิร์ฟ นอกจากจะรสชาติดีแล้วหน้าตายังเย้ายั่วให้รัวชัตเตอร์ทำคอนเทนต์ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอไปพร้อมกันทั้งโต๊ะ
วิสกี้บาร์ของโรงแรม SILQ Hotel & Residences ซึ่งเจ้าของมีอีกหนึ่งธุรกิจเกี่ยวกับผ้าไหม ทั้งโรงแรมและบาร์แห่งนี้จึงนำเรื่องราวของผ้าไหมมาเป็นแรงบันดาลใจ สำหรับ The White Mulberry Bar เปรียบเสมือนแหล่งหล่อเลี้ยงใจของนักดื่มที่หลงใหลในวิสกี้ เช่นเดียวกับใบหม่อนขาวที่เป็นแหล่งอาหารเลี้ยงหนอนไหม ที่นี่รวบรวมวิสกี้ชั้นเยี่ยมจากทั่วโลกและยังมีบริการล็อกเกอร์สำหรับเก็บรักษาขวดที่ดื่มไม่หมดให้คุณเป็นอย่างดี
บาร์ใจกลางย่านสุขุมวิท 24 ที่ตกแต่งด้วยสไตล์ Modern Contemporary เป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างความหรูหรา คลาสสิกและทันสมัย ทั้งยังมีบรรยากาศที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว มีวงดนตรีแจ๊สเล่นสดทุกวันจันทร์ และพบกับดีเจทุกคืนวันศุกร์-เสาร์
บาร์บรรยากาศเรียบหรูกลิ่นอายนิวยอร์กที่อยู่ในโรงแรม The Davis Bangkok ภายในตกแต่งด้วยไฟสีแดง เครื่องแก้ว โซฟาหลากสีสัน และเพิ่มบรรยากาศอบอุ่นด้วยเตาผิงจำลอง ที่นี่จะเสิร์ฟค็อกเทลได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมการ์ดระดับตำนานอย่าง Baccarat และสร้างความครึกครื้นด้วยดนตรีแนวอาร์แอนด์บี, แอโฟรละติน และเฮาส์
24ABV สปีคอีซีบาร์ในซอยสุขุมวิท 24 บาร์แห่งล่าสุดในเครือ Sugar Ray ที่มาในคอนเซ็ปต์บาร์ที่ดีไซน์แบบบาร์ค็อกเทลญี่ปุ่นผสมผสานกับเฟอร์นิเจอร์สไตล์สแกนดิเนเวียน ซึ่งนำเอาวัตถุดิบท้องถิ่นของไทยมานำเสนอเป็นค็อกเทล
นอกจากนี้ที่นี่ยังนำเอาเลข 24 มาใช้คู่กับคำว่า ABV หรือ Alcohol by Volume ซึ่งหมายถึง ปริมาณแอลกอฮอล์ในเครื่องดื่ม ทำให้เลข 24 สื่อได้ 2 ความหมายคือ โลเคชันร้าน และยังใช้เลข 24 แบ่งเมนูค็อกเทลตามความแรงของแอลกอฮอล์ เป็นค็อกเทล Below 24% ABV ต่ำว่า 24 ค็อกเทลในแบบเปรี้ยวหวาน และ Above 24% ABV สูงกว่า 24 ค็อกเทลแบบสปิริตฟอร์เวิร์ด โดยปริมาณ ABV คำนวณเอาจากวัตถุดิบและสปิริตที่ใช้ในเครื่องดื่ม
ค็อกเทลคลับจากทีม THAY ที่มีสาขาอยู่ทั้งเอกมัย, CDC เลียบด่วนรามอินทรา และที่นิมมาน เชียงใหม่ และ TDERM x 455 ย่านเอกมัย-ทองหล่อ ที่สายปาร์ตี้สายตื๊ดทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดี แต่ GOT มาในไวบ์ที่แตกต่างโดยจะเป็น Speakeasy Bar ในช่วงหัวค่ำ และจะไต่ระดับความสนุกขึ้นเป็น Night Club ในช่วงดึก
Good Old Times ต้องการพาเราย้อนกลับไปนึกถึงช่วงเวลาดีๆ ในวันวาน ร้านจึงนำเสนอคอนเซ็ปต์อันโดดเด่นอย่าง Retrofuturism ที่เป็นการผสมผสานระหว่างกลิ่นอายคลาสสิกของบาร์ลับยุค 80’s และการตกแต่งสไตล์ Futuristic Technology
บาร์แผ่นเสียงไวนิลสำหรับคนอยากจิบเครื่องดื่มเคล้าเสียงเพลงที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี เจ้าของร้านคือชาวญี่ปุ่นที่เคยเป็นทั้งดีเจและบาร์เทนเดอร์ในแจ๊สคลับสมัยยังอยู่ที่บ้านเกิด เขาเริ่มสะสมแผ่นเสียงมาตั้งแต่อายุ 15 ปี ทำให้มีคอลเล็กชั่นแผ่นเสียงของตัวเองจำนวนมาก และแน่นอนว่าเขานำมาเปิดให้เราฟังด้วย ส่วนแนวเพลงก็เรียกว่าไม่จำกัด มีให้ฟังทั้งแจ๊ส บลูส์ เรกเก้ และร็อก
เรื่องระบบเสียงที่ร้านจะใช้เครื่องเสียงวินเทจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นลำโพง Altec Lansing “Voice of the Theatre” A7 ซึ่งเป็นลำโพงโรงละครวินเทจจากยุค 50’s เครื่องขยายเสียง Altec Lansing1567 A และ 1420 และยังเลือกตกแต่งภายในด้วยไม้สักจากเชียงใหม่ที่มีคุณสมบัติสะท้อนเสียงได้ทั้งร้าน ส่วนการตกแต่งภาพรวมของร้านมีกลิ่นอายแบบนิวยอร์กผสมกับ Japanese Jazz Kissa หรือคาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่นที่เน้นเล่นเพลงแจ๊ส มู้ดร้านให้ความรู้สึกอบอุ่น
เครื่องดื่มของ CCC มีทั้งชา กาแฟ สมูธตี้ และค็อกเทล ใช้วัตถุดิบออร์แกนิกทุกอย่างและเน้นความเรียบง่าย แก้วที่เราลองชิมมาแล้วก็จะมี Salsa Club (380 บาท) ค็อกเทลเบสเตกิลาที่มีส่วนผสมของคอมบูฉะและมาซาลาจาย Calypso (380 บาท) รสชาติที่ลงตัวของวิสกี้และชาสมุนไพร และ A Love Supreme (420 บาท) เครื่องดื่มที่ให้ความรู้สึกสดชื่นด้วยส่วนผสมอย่างน้ำแตงโมสด