เทรนด์ของวงการร้านอาหารทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย โดยเฉพาะในปีนี้ หลังจากที่มีข่าวว่า คนรุ่นใหม่ไม่ทนกับการใช้เวลาอย่างยาวนานในการกินอาหารหนึ่งมื้อ ทำให้คนไม่น้อยหันหลังให้กับร้านอาหารไฟน์ไดนิง
แต่ความจริงก็ไม่ใช่กับทุกกลุ่มคน ยังคงมีกลุ่ม Fine Dining Lover ที่ชื่นชอบประสบการณ์แบบนี้อยู่ คนจำนวนไม่น้อยพยายามที่จะจองร้านอาหาร Alchemist ในโคเปนเฮเกน ที่ต้องใช้เวลามากกว่า 5 ชั่วโมง สำหรับอาหาร 1 มื้อ ซึ่งนั่นก็พิสูจน์ว่ายังก็มีคนที่ชื่นชอบประสบการณ์แบบนี้อยู่
แน่นอนว่าเชฟในบ้านเราจำนวนไม่น้อยก็ไม่ได้มองข้ามเรื่องนี้ไป พวกเขาเริมแตกไลน์ร้านอาหารสไตล์แคชชวลไดนิงออกมามากขึ้น เสิร์ฟอาหารแบบอลาคาต แต่ความน่าสนใจอยู่ที่เชฟยังคงใส่ความไฟน์ลงไปในอาหาร ทำให้เรายังได้กินอาหารที่ใส่ใจทุกขั้นตอนในแบบไฟน์ไดนิง โดยไม่ต้องจ่ายเกินก้อนโตสำหรับอาหาร 1 มื้อ และแน่นอนว่าตอบโจทย์เรื่องเวลาของการกินอาหารที่ลดลงด้วย
อีกปัจจัยที่เรามองว่าทำให้เกิดร้านอาหารแคชชวลมากขึ้นก็น่าจะมาจากการที่เชฟจำนวนไม่น้อยทำงานร้านอาหารไฟน์ไดนิงมาอย่างยาวนาน ทำให้พวกเขาเองก็เบื่อหน่ายกับความจำเจ ทำให้พวกเขานำเอาความอยากที่ทำไม่ได้ในร้านอาหารไฟน์ไดนิงมาใส่ในร้านอาหารแห่งใหม่ของเขานั่นเอง
วันนี้ Friday รวมเอาร้านอาหารสุดไฟน์ ในไวบ์แคชชวล มาให้ทั้งหมด 9 ร้าน ใครเป็นแฟนคลับของเชฟคนไหนตามไปกินกันได้เลย
เชฟ Wilfrid Hocquet อดีตเชฟร้านอาหารไฟน์ไดนิงที่หันมาเปิดร้านอาหาร Margo ร้านอาหารแนวเฟรนซ์บิสโทรที่สุดแคชชวลเหมือนกินอาหารอยู่บ้าน โดยนำเอารากเหง้าของอาหารฝรั่งเศส ผสมผสานเทคนิคคลาสสิค และวัตถุดิบตามฤดูกาล ทำอาหารในสไตล์ของ Margo ออกมา อย่าง Bouchot Mussels หอยแมงภู่อบ หรือ Paris Ham & Comté Pithiviers พิทิเวไส้แฮมกับชีสคอมเต
ร้านอาหารโดยเชฟหนุ่ม-วีรวัฒน์ ตริยเสนวรรธน์ และเชฟชาลี กาเดอร์ ที่รีดีไฟน์อาหารไฟน์ไดนิงออกมาในแบบแคชชวล เชฟหนุ่มยังคงนำวัตถุดิบหมักดองที่ทำเองในแล็บของหมาน้อยมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการปรุงอาหาร (หมาน้อยฟู้ดแล็ป โปรเจ็กต์หมักดองของเชฟหนุ่ม) หรือเชฟชาลีก็ปรับสูตรอาหารไทยบางอย่างให้เชื่อมโยงกับสูตรดั้งเดิมให้มีมิติของรสชาติใหม่ที่ยังคงอยู่ในกรอบของอาหารไทย ทำให้ทั้งคู่นิยามที่นี่ว่าเป็นอาหารไทยที่ไม่มีกฎและลำดับ โดยมีเชฟภาคย์ ยะมู มือขวาของเชฟชาลี รับหน้าที่ดูแลเป็นหลัก อาหารไทยของที่นี่เป็นอาหารไทยที่เชฟทั้ง 3 คน ลงความเห็นตรงกันว่าควรเป็นแบบไหน โดยปกติอาหารไทยก็เป็นสูตรอาหารแบบบ้านใครบ้านมัน รสแม่ใครก็รสแม่มันอยู่แล้ว จึงไม่ได้มีอะไรที่ผิดหรือถูก โดยเชฟให้ความสำคัญกับวัตถุดิบอาหารทะเลสดจากชาวประมงท้องถิ่นและผักที่ปลูกในประเทศ ผสมผสานกับวัตถุดิบนำเข้าที่จะช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร
ร้านอาหารแคชชวลเฟรนซ์-เมดิเตอร์เรเนียน โดยเชฟ Olivier Limousin อดีตเฮดเชฟของ L'Atelier de Joël Robuchon ร้านอาหารไฟน์ไดนิงที่เคยเปิดให้บริการในกรุงเทพฯ หลังจากนั้นเชฟเดินทางก่อนกลับมาเปิดร้านอาหารของตัวเองในแบบแคชชวล มีเมนูเด่นอย่าง Tapas Tower ที่มีทาร์ทาร์กุ้ง ทาทากิปลาทูน่า และทาร์ทาร์เนื้อวากิว A5 หรือ Britanny Langoustines Papillote ที่มาในหนึ่งคำ
อี-ซัง ร้านสไตล์อีสานกายะของเชฟชาลี กาเดอร์ จากร้าน Fran, WanaYook, Soma, 100 มหาเศรษฐ์ และ Mickey Diner ที่ไปร่วมกับเชฟกากัน อนันต์ จาก Gaggan ร้านอาหารอันดับหนึ่งจาก Asia’s 50 Best Restaurants 2025 เสิร์ฟเมนูอีสานในสไตล์โมเดิร์นอิซากายะ แน่นอนว่าเป็นการตีความอาหารอีสานในรูปแบบใหม่ที่น่าสนใจ อย่างเมนูปลาฮอกเกะแดดเดียวย่างที่มาพร้อมน้ำพริกปลาร้า ทาโกะยากิปีกไก่ทอดที่ด้านนอกเป็นไก่ทอดแต่ด้านในเป็นทาโกะยากิ หรือแกงไก่ใบมะขามที่มาพร้อมข้าวปั้นโอนิกิริที่ได้แรงบันดาลใจจากข้าวจี่
ร้านแฮนด์โรลและสาเกบาร์ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างเชฟมาซาโตะ ชิมิสุ และคุณปลา อัจฉรา บุรารักษ์ โดยเชฟมาซาโตะใช้ข้าวสูตรเดียวกับร้านโอมากาเสะ แต่ปั้นข้าวคนละแบบ คนละสัมผัสตามประสาเทมากิ หรือ hand roll นอกจากนี้ยังใช้แผ่นสาหร่ายดังที่ในไทยมีเฉพาะที่นี่ เมนูเปลี่ยนไปตามฤดูกาลของปลา เสิร์ฟ 4, 5 และ 7 รวมถึงมี Omakase ด้วย
รอบเวลาคือ 11.00 / 12.30 / 14.00 / 17.00 / 18.30 / 20.00 น.
บอกได้เลยว่า Le Du Kaan หรือ ฤดูกาล คือภาคต่อของร้านอาหาร Le Du ที่ยังคงนำเสนออาหารไทยในแบบโมเดิร์น โดยเลือกใช้วัตถุดิบไทยตามฤดูกาลจากประมงพื้นบ้าน และเกษตรกรไทยมาโดยตลอด ความแตกต่างอยู่ที่ฤดูกาลเสิร์ฟแบบอลาคาตที่เหมาะกับการแชร์ริง ส่วนฤดูมาในแบบเทสติ้งเมนู อีกจุดเด่นของฤดูกาลคืออยู่ความสูงบนชั้น 56 ของ EA Rooftop at The Empire ทำให้ที่นี่กลายเป็นร้านอาหารไทยที่สูงที่สุดในโลก แน่นอนว่าผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของฤดูกาลก็คึอ เชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร เชฟเจ้าของร้านที่พาร้านอาหารฤดูก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของร้านอาหารในเอเชียมาแล้วเมื่อปีก่อน โดยเชฟต้นบอกว่านี่คือร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ทำมา เลยดึงตัวเชฟแบงค์-ชัชวาล วราหะจีระกูล เฮดเชฟจากสมุทรมายืนเฮดเชฟที่นี่ โดยเลือกใช้วัตถุดิบในประเทศแบบ 100% นำเสนออาหารไทยในแบบสมัยใหม่ แต่ไม่ซับซ้อนเท่าฤดู
ร้านอาหารไทยโมเดิร์น ซึ่งเป็นร้านที่เชฟแพม-พิชญา สุนทรญาณกิจ จากร้าน Potong มอบหมายให้ เชฟเกรส-วรกานต์ กฤตสิริกุล ลูกมือคนสำคัญ รับหน้าที่เป็นเฮดเชฟของร้าน คอนเซ็ปต์หลักของร้านนี้คือการหยิบวัตถุดิบไทย 5 อย่างนั่นคือ ข้าว, น้ำปลา, น้ำตาลตโนด, พริก และมะพร้าว มาใช้เป็นแกนหลักของอาหารทุกจาน โดยถือว่าวัตถุดิบเหล่านี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำร้าน เป็นที่มาของชื่อร้าน ‘ข้าวสารเสกนั่นเอง ไม่ใช่แค่เมนูอาหารไทยลูกผสมที่เชฟเกรสคิดค้นขึ้นมาใหม่ร่วมกับเชฟแพมเท่านั้น แต่ในครัวของร้านนี้ยังเหมือนเป็นคลังแสงและแล็บทดลองที่มีตั้งแต่น้ำปลาทำเอง รวมถึงสาโทที่เชฟเกรสหมักขึ้นจากข้าวเหนียวดำอีกด้วย เห็นแล้วก็รู้เลยว่าเชฟแพมได้คายตะขาบตัวใหญ่ให้ลูกศิษย์คนนี้แบบหมดเปลือก
อีกร้านอาหารไทยสมัยใหม่แบบนีโอคลาสสิก โดยเชฟปริญญ์ ผลสุข เจ้าของร้านอาหาร สำรับ สำหรับไทย ร้านอาหารไทยไฟน์ไดนิ่งที่ได้รางวัลมิชลิน 1 ดาว ร้านนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการเดินทางเยือนยุโรปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในปี พ.ศ. 2440 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อาหารไทยได้รับการปรุงแต่งด้วยวัตถุดิบแปลกใหม่และวิธีการปรุงอาหารจากต่างประเทศ การผสมผสานทางประวัติศาสตร์นี้สะท้อนให้เห็นในเมนูอันน่าสนใจของร้านวิลาส ซึ่งผสมผสานวัตถุดิบชั้นเลิศจากต่างประเทศเข้ากับวัตถุดิบจากประเทศไทย
ร้านของเชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร ที่เปิดให้กับภรรยา คุณเมย์-จิรัฐฐา ค้ำพันธุ์ โดยออกแบบร้านให้เป็นเหมือน ‘ถ้ำชาวประมง’ ตามเกาะแก่งน้อยใหญ่ที่ชาว ‘อูรักลาโวยจ’ (Urak Lawoi) หรือ ‘อูรักลาโว้ย’ ชาวเลท้องถิ่นแถวเกาะสิเหร่ หาดราไวย์ เกาะลันตา และหมู่เกาะในบริเวณภาคใต้ของไทย มักไปอาศัยพักแรมระหว่างช่วงฤดูหาปลา จนเป็นที่มาของชื่อร้านและคอนเซ็ปต์ “Fisherman Cave” กลางกรุง โดยเมนูซีฟู้ดจะเปลี่ยนไปทุกวันตามแต่วัตถุดิบที่ได้มาจากชาวประมงทางภาคใต้ ซึ่งปลาส่วนใหญ่จับได้ตามธรรมชาติ และจะนำไปดรายเอจก่อนประมาณ 3 วัน ก่อนนำมาขาย โดยสามารถสั่งแล่เป็นซาชิมิหรือให้นำไปย่างถ่านก็ได้เช่นกัน นอกจากปลายังมีอาหารทะเลอื่นที่จับตามธรรมชาติ นำมากินกับสาเก