14 ร้านอาหารในกรุงเทพฯ  ที่ได้เชฟระดับโลกดูแลหลังบ้าน
14 ร้านอาหารในกรุงเทพฯ ที่ได้เชฟระดับโลกดูแลหลังบ้าน | Photo: Mandarin Oriental Bangkok

17 ร้านอาหารในกรุงเทพฯ ที่ได้เชฟระดับโลกดูแลหลังบ้าน

เคยสังเกตกันไหมว่า ร้านอาหารจำนวนหนึ่งในกรุงเทพฯ มีชื่อของเชฟดังระดับโลกห้อยท้ายต่อจากชื่อร้าน ไม่ว่าจะเป็น Blue by Alain Ducasse หรือ Côte by Mauro Colagreco

30 ก.ย. 2568

ด้วยความที่ร้านอาหารกลุ่มนี้ชักชวนเชฟมาร่วมคอลแลปในหลากหลายรูปแบบ ทั้งเข้ามาต่อยอดจากร้านอาหารที่มีอยู่แล้ว มาดูหลังบ้าน พัฒนาสูตรอาหาร หรือร่วมกันเปิดร้านอาหารแห่งใหม่ขึ้นมา โดยนำเอาชื่อของเชฟชื่อดังมาดึงดูดบรรดาฟู้ดดี้ให้เข้ามาใช้บริการ แม้ว่าบางร้านจะไม่ได้มีชื่อของเชฟชื่อดังต่อท้าย แต่ก็มีหลายร้านที่ได้เชฟชื่อดังมาช่วยดูแลหลังบ้านด้วยเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นร้านอาหารไฟน์ไดนิง

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่มีร้านอาหารโดยเชฟชื่อดังเข้ามาเปิดเป็นจำนวนมาก ทั้งการสร้างจุดสนใจให้กับห้องอาหารของโรงแรมเอง หรือการเตรียมตัวต้อนรับการมาของมิชลินไกด์ ฉบับประเทศไทย รวมถึงการพยายามทำให้กรุงเทพฯ เป็นจุดหมายในการเดินทางของนักกิน ซึ่งล้วนทำให้เกิดร้านอาหารอย่าง L'Atelier de Joël Robuchon ของเชฟผู้ล่วงลับ หรือ Morimoto Bangkok โดยเชฟ Masaharu Morimoto เชฟกระทะเหล็กชาวญี่ปุ่น แม้ว่าบางร้านไม่ได้ไปต่อ ด้วยปัจจัยที่ต่างกัน แต่ก็มีร้านไม่น้อยที่อยู่คู่เมืองไทยมาอย่างยาวนานอย่าง Sra Bua by Kiin Kiin ที่ได้เชฟ Henrik Yde-Andersen จาก Kiin Kiin ร้านอาหารไทยแห่งแรกที่ได้ดาวมิชลินในเดนมาร์ก มาช่วยพัฒนาสูตรร่วมกับเชฟชาวไทย

Friday ได้ลองลิสต์ร้านอาหารในกรุงเทพฯ ที่ได้เชฟชื่อดังมาช่วยดูหลังบ้าน เราพบว่ามีร้านอาหารถึง 17 แห่ง ไม่ว่าจะในรูปแบบใด แถมส่วนใหญ่ก็ถือเป็นเชฟเบอร์ใหญ่ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Anne-Sophie Pic เชฟชื่อดังคนล่าสุดที่เข้ามาในบ้านเรา หรือตำนานเชฟอย่าง Alain Ducasse และ Mauro Colagreco เบอร์หนึ่งของโลกจาก Mirazur รวมถึงคิงส์ออฟไวท์ทรัฟเฟิล Umberto Bomban ซึ่งแน่นอนว่าการคอลแลปกับเชฟชื่อดังก็มีทั้งที่ประสบความสำเร็จ รวมถึงล้มเหลวซมซานกลับไปบ้านเกิดก็มี ด้วยปัจจัยที่ไม่เข้าใจลูกค้า หรือการไม่ปรับรสชาติให้เข้ากับการรับรสของคนไทย


Blue by Alain Ducasse

เจริญนคร

fine dining course in Iconsiam
fine dining course in Iconsiam
Blue by Alain Ducasse | Photo: Blue by Alain Ducasse

ร้านอาหารฝรั่งเศส 1 ดาวมิชลิน ที่ได้เชฟระดับตำนาน อลัง ดูคาส (Alain Ducasse) หนึ่งในผู้ครอบครองดาวมิชลินมากที่สุดคนหนึ่งมาเป็นที่ปรึกษา นำโดยเชฟ Wilfrid Hocquet กับอาหารฝรั่งเศสที่ใช้วัตถุดิบในประเทศไทยค่อนข้างเยอะ เสริมด้วยวัตถุดิบนำเข้าจากญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และฝรั่งเศส ทำเมนูต่างจากดูคาสร้านอื่น มื้อกลางวัน 5 Courses ราคา 2,950++บาท และเทสติ้งเมนู Voyage ที่มีให้เลือกระหว่าง 5, 6 และ 8 Courses ราคา 3,950-7,500++บาท

Thu

12:00 - 22:00

2,950+ / คน

Anne-Sophie Pic at Le Normandie

เจริญกรุง

Anne-Sophie Pic at Le Normandie
Anne-Sophie Pic at Le Normandie | Photo: Bandit Phinyovadtanachip

Anne-Sophie Pic at Le Normandie เปรียบได้กับสวนดอกไม้ของเชฟหญิง Anne-Sophie Pic และ Tamaki Kobayashi เฮดเชฟชาวญี่ปุ่นที่ทำงานกับเธอมาอย่างยาวนาน มาช่วยกันนำเสนอรสชาติอาหารฝรั่งเศสสุดละมุน เธอยังปรับบรรยากาศสุดคลาสสิกของร้านเดิมแทนที่ด้วยความร่วมสมัยและลวดลายที่อ่อนช้อย รวมถึงใส่สิ่งที่เธอชื่นชอบอย่างดอกไม้ เข้ามาในเอเลเมนต์ต่างๆ ทำให้ที่นี่กลายเป็นสวนดอกไม้เหมือนกับที่ร้านต้นฉบับของเธอมีสวนดอกไม้รายล้อมร้าน

เราว่าสิ่งที่เชฟ Anne-Sophie นำเข้ามาให้กับที่นี่ก็คือ รสชาติอาหารฝรั่งเศสอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเกิดขึ้นจากประสบการณ์ในชีวิตของเธอ ทั้งการเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อท่องเที่ยว รวมถึงมาทำคอลแลปมื้ออาหารที่ Le Normandie เมื่อหลายปีก่อน นอกจากนี้การใช้ชีวิตในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนในประเทศญี่ปุ่นยาวนานกว่าครึ่งปี ก็ทำให้เธอหลงใหลในรสชาติของทั้งอาหารญี่ปุ่นและไทย ซึ่งถูกนำมาใช้จริง

ใครได้มาชิมอาหารมื้อนี้เราเชื่อว่าน่าจะสัมผัสได้ถึงอิทธิพลของรสชาติแบบญี่ปุ่นในอาหารฝรั่งเศสของเธอ ซึ่งไม่ได้มาจากเชฟ Tamaki แต่เป็นตัวเธอเองที่ได้ติดตัวมาจากประสบการณ์ของเธอเอง

ที่นี่ให้บริการอาหารอลาคาร์ต นอกจากนี้ยังมีเซตเมนูสำหรับมื้อกลางวัน 3 คอร์ส ราคา 4,500++บาท และเมนู Voyage 7 คอร์ส สำหรับมื้อค่ำ ราคา 9,000++บาท เราได้ชิมทั้งหมด 5 เมนู ซึ่งหลายจานเป็นซิกเนเจอร์ของเชฟ Anne-Sophie


Thai Fine dining in Ratchaprasong
Thai Fine dining in Ratchaprasong
Sra Bua by Kiin Kiin | Photo: Sra Bua by Kiin Kiin

ปีนี้ Sra Bua by Kiin Kiin จะเปิดให้บริการในประเทศไทยครบ 15 ปี ในเดือนกันยายน ที่จะถึงนี้ แน่นอนว่าที่นี่ปรับตัวเองอยู่เสมอ แม้ว่าจะเริ่มต้นด้วย ‘อาหารไทยโมเดิร์น’ เรียกว่าเป็นร้านแรกๆ ที่นำเอาอาหารคาวมานำเสนอเป็นของหวาน อย่างไอศกรีมแกงแดง จนเคยได้มิชลินสตาร์ 1 ดาว และล่าสุดกับ ‘การชูวัตถุดิบท้องถิ่น และใส่ใจเรื่องความยั่งยืน’ แน่นอนว่าทุกครั้งที่เชฟ Henrik Yde-Andersen ปรับเปลี่ยนอะไร ล้วนผ่านกระบวนการคิดมาแล้วอย่างดี

.

ด้วยความที่เชฟเริ่มเปิดร้าน Kiin Kiin ร้านอาหารไทยในเดนมาร์ก เชื่อได้เลยว่าต้องนำเข้าวัตถุดิบอาหารไทยเหมือนทุกร้านอาหารไทยในยุโรปอย่างแน่นอน ทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อเปิด Sra Bua by Kiin Kiin แล้วเชฟจะให้ความสำคัญกับวัตถุดิบท้องถิ่นที่เขาพยายามหามาใช้ในเดนมาร์ก เพราะที่นี่เขาจะใช้วัตถุดิบอะไรทำอาหารไทยก็ได้

.

ล่าสุดที่นี่เดินหน้าส่งเสริมความยั่งยืนของอาหารไทยอย่างจริงจัง ทั้งการให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการเกษตรกรรมและการประมง ที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านเซตเมนูล่าสุด ‘The Legends of the Lotus-The Blooming Dawn’ ที่ให้เลือกคอร์สอาหารได้ทุกคอร์ส ตั้งแต่อาหารเรียกน้ำย่อย ไปจนถึงของหวาน มื้อกลางวัน มีให้เลือก 3 คอร์ส ราคา 2,200++บาท และ 5 คอร์ส ราคา 3,800++บาท ส่วนมื้อค่ำ ราคา 4,600++บาท

.

ที่นี่ยังคงมีเชฟเบิ้ม-ชยวีร์ สุจริตจันทร์ เชฟใหญ่ชาวไทยดูแล และทำการบ้านร่วมกับเชฟเฮนริคในการเปลี่ยนเมนูในทุกซีซั่น สำหรับประสบการณ์ของที่นี่ยังคงเหมือนเดิมโดยเริ่มที่ Street Food ที่เชฟเฮนริคได้แรงบันดาลใจมาจากการเดินทางครั้งแรกในประเทศไทย ได้แก่ เมอแรงก์วาซาบิโยเกิร์ต เวเฟอร์สะเต๊ะ น้ำพริกหนุ่มแคปหมูข้าวพอง หอยทากทะเลปรุงรส โดนัทไส้เห็ดชิเมจิผัดกะเพรา เมี่ยงคำ และยำรากบัว

.

ส่วนคอร์สอาหารในรอบนี้มีเมนูใหม่อย่าง ต้มโคล้งปลากรอบ สลัดหอยแตงกวาน้ำมันกะเพราและผักชี ยำเทอร์รีนปลาหมึกยักษ์ ล็อบสเตอร์ค็อกเทลท็อปด้วยโฟมบิสก์ อกเป็ดราดซอสเอ็กซ์โอ และพาร์เฟต์ข้าวโพดสเลอร์ปีมะพร้าวเผา และจบลงด้วยเปอติต์โฟร์ที่ให้เราเล่าสนุกกับพริก เลโก้ หิน อบเชย และไข่มุก

.

และข่าวดี ครั้งหน้าเชฟเฮนริควางแผนที่จะเดินทางมาไทยในช่วงเดือนกันยายนนี้ พร้อมการนำเอาเมนูยอดนิยมตลอด 15 ปี ที่เปิดไห้บริการกลับมาให้เราได้ชิมในโอกาสครบรอบ 15 ปีของร้านด้วย

.

Sra Bua by Kiin Kiin ภายใน Siam Kempinski Hotel Bangkok

Thu

12:00 - 00:00

4,400+ / คน

Italian restaurant in silom
Italian restaurant in silom
Italian restaurant in silom
Italian restaurant in silom
Italian restaurant in silom
Cannubi by Umberto Bombana | Photo: Tanisorn Vongsoontorn

ฤดูใบไม้ผลิที่อิตาลีวนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับความอุดมสมบูรณ์ของผลผลิตประจำฤดูกาล นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่ร้านอาหารอิตาลีจะมีเมนูพิเศษออกมาให้เราได้ชิม หนึ่งในนั้นคือห้องอาหาร Cannubi by Umberto Bombana (คานนูบี บาย อุมแบร์โต บอมบานา) ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ที่นำวัตถุดิบประจำฤดูใบไม้ผลิมาปรุงเป็นเมนูใหม่ 6 คอร์ส

.

Cannubi คือร้านอาหารไฟน์ไดนิงอิตาลีที่เชฟ ‘อุมแบร์โต บอมบานา’ จาก Otto e Mezzo Bombana ร้านอาหารอิตาลีระดับ 3 ดาวมิชลินที่ฮ่องกง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเมนู โดยมีเชฟ ‘อังเดร ซัสโต’ มาประจำการที่ร้านเพื่อดูแลคุณภาพของทุกเมนูรวมถึงเมนูใหม่ที่เรากำลังจะพูดถึงด้วย

.

คอร์สแรกคือ ‘การ์ปัชโชกุ้งแดงจากซิซีลี’ จานคลาสสิกของอาหารอิตาลีที่ชูรสความสดใหม่ของวัตถุดิบซึ่งจานนี้คือกุ้งแดงซิซีลี เชฟอังเดรเลือกใช้เทคนิคการปรุงแบบดั้งเดิมเพื่อรักษาความหวานของกุ้ง เสิร์ฟพร้อมคาเวียร์ เพิ่มรสชาติด้วยพริกฮาลาเปญโญและเบซิลออยล์

.

จากนั้นพบกับวัตถุดิบขึ้นชื่อของฤดูใบไม้ผลิอย่าง ‘หน่อไม้ฝรั่งเขียว’ ในคอร์สที่ 2 ซึ่งเสิร์ฟมา 2 แบบ ทั้งนำไปตุ๋นในน้ำมันแล้วเสิร์ฟเป็นชิ้นและนำไปทำเป็นซอสราด เสิร์ฟพร้อมไข่ออร์แกนิกที่ต้มแบบสโลวคุกจนได้ไข่แดงลาวาเยิ้มๆ ตัดกับสีเขียวของหน่อไม้ฝรั่ง

.

คอร์สที่ 3 จะเป็นพาสตาโฮมเมดที่มีให้เลือก 2 ชนิดระหว่าง ‘พาสตาญ็อกเชตตี’ ที่หน้าตาคล้ายหอยเล็กๆ เสิร์ฟพร้อมกับอูนิจากฮอกไกโด ซีฟู้ดจูส์ และผัก Cime di Rapa จากทางตอนใต้ของอิตาลี รสชาติโดยรวมเหมาะกับคนที่ชอบความครีมมี แต่ถ้าไม่ถนัดก็สามารถเลือกจานที่เบาลงมาหน่อยอย่าง ‘พาสตาตากลิโอลินี’ เส้นเล็กแบนเคลือบซอสซีฟู้ด มาพร้อมกุ้งแดงสเปนย่างถ่านหอมๆ

.

ต่อด้วยเมนคอร์สที่มีตัวเลือกเป็น ‘ปลามาได’ ย่างถ่านเสิร์ฟพร้อมหอยแมลงภู่ หอยหลอดผัด และผัก Agretti วัตถุดิบยอดนิยมทางภาคกลางของอิตาลี และ ‘สเต๊กเนื้อลูกวัว’ ที่เชฟปรุงแบบดั้งเดิมของมิลานเสิร์ฟคู่กับผักประจำฤดูกาล

.

สำหรับของหวานจะเริ่มเสิร์ฟจาก Semifreddo ขนมหวานที่มีเนื้อสัมผัสอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นครีมมูสกับน้ำแข็งโดยมื้อนี้มาในรสส้มยูสุเพื่อล้างปากด้วยความเปรี้ยวก่อนปิดท้ายด้วยความหวานในคอร์สสุดท้ายซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของห้องอาหาร นั่นคือครีมช็อกโกแลตและเฮเซลนัทเสิร์ฟคู่กับเจลาโตรสเฮเซลนัตและราดด้วยซอสวานิลลา

.

เมนูประจำฤดูใบไม้ผลิที่ห้องอาหาร Cannubi by Umberto Bombana ราคาคนละ 5,500++ บาท และสามารถจิบไวน์เพื่อเพิ่มรสชาติอาหารได้โดนราคาอยู่ที่คนละ 1,900++ บาทสำหรับไวน์ 3 แก้ว และคนละ 3,200++ บาทสำหรับไวน์ 5 แก้ว เสิร์ฟถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2568 จองโต๊ะและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0 2200 9000


Thu

12:00 - 22:30

2,000+ / คน

IGNIV

ราชดำริ

Modern Fine Dining
Modern Fine Dining
IGNIV | Photo: Tanisorn Vongsoontorn

ห้องอาหารมิชลิน 1 ดาว โดยเชฟ Andreas Caminada นำเสนออาหารสไตล์สวิสคลาสสิกและร่วมสมัยเสิร์ฟในรูปแบบที่สนุกสนาน โดยมีเชฟเดวิด ฮาร์ดวิก และเชฟอาเน่ รีน ดูแลสาขากรุงเทพฯ

Thu

12:00 - 23:00

5,500+ / คน

Côte by Mauro Colagreco

เจริญกรุงฝั่งใต้

Côte by Mauro Colagreco
Côte by Mauro Colagreco | Photo: Côte by Mauro Colagreco

ห้องอาหารมิชลิน 2 ดาว ของโรงแรม Capella Bangkok ที่ได้เชฟ Mauro Colagreco เชฟเจ้าของร้าน Mirazur ร้านอาหารที่ดีที่สุดของโลกมาช่วยวางคอนเซปต์ โดยส่งมือขวา เชฟ Davide Garavaglia อดีตเชฟเดอคูซีนของมิราซูร์ มาประจำการในคอนเซปต์ Riviera to the River จากทะเลสู่แม่น้ำ



Elements, Inspired by Ciel Bleu

เพลินจิต

French Restaurant
French Restaurant
Elements, Inspired by Ciel Bleu | Photo: okurabangkok

ห้องอาหารฝรั่งเศสกลิ่นอายญี่ปุ่น 1 ดาวมิชลิน ที่ได้ทางห้องอาหาร Ciel Bleu ในกรุงอัมสเตอร์ดัม มาเป็นพี่ใหญ่ช่วยดูแล ล่าสุดเป็นเชฟ Gerard Villaret Horcajo ที่นำเอาปรัชญาการทำอาหารฝรั่งเศสที่กลิ่นอายญี่ปุ่น แถมตอนนี้เชฟเริ่มนำเอาวัตถุดิบไทยมาใช้มากขึ้น มี 3 เซต Ku-Ki Experience 4 คอร์ส ราคา 4,100++บาท Chikyu Experience 6 คอร์ส ราคา 4,900++บาท และ Mizu Experience 8 คอร์ส ราคา 6,400++บาท

Thu

18:00 - 23:00

4,100+ / คน

Sartoria by Paulo Airaudo
Sartoria by Paulo Airaudo
Sartoria by Paulo Airaudo | Photo: Sartoria by Paulo Airaudo

ร้านอาหารอิตาเลียน โดยเชฟ Paulo Airaudo เชฟเจ้าของอาณาจักรอาหารอิตาเลียนที่ได้ดาวมิชลิน รวมกัน 6 ดวง จากร้านอาหารทั้งหมด 4 ร้าน ได้แก่ Amelia มิชลิน 2 ดาว ในซานเซบาสเตียน, Aleia มิชลิน 1 ดาว ในบาร์เซโลน่า, Bar Ibai มิชลิน 1 ดาว ในซานเซบาสเตียน และ Noi มิชลิน 2 ดาว ในฮ่องกง โดยเชฟเปาโลให้ความสำคัญกับรสชาติของอาหารอิตาเลียนแบบคลาสสิก แต่ใส่เอาความสมัยใหม่เข้ามา เลือกใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลจากเมืองไทยและญี่ปุ่นเป็นหลัก ทำให้อาหารของเขาต่างจากอาหารอิตาเลียนร้านอื่นในเครือ โดยส่งเชฟ Ales Donat มาดูแล


Duet by David Toutain

ลุมพินี

French fine dining at Lumphini
French fine dining at Lumphini
French fine dining at Lumphini
French fine dining at Lumphini
French fine dining at Lumphini
Duet by David Toutain | Photo: Bandit Phinyowatthanachip

นี่คือห้องอาหารแห่งใหม่ Duet by David Toutain ของ The Ritz-Carlton, Bangkok ที่บอกว่ามาเปิดโดยมีเป้าหมายในการได้ Michelin Green Star หรือดาวรักษ์โลก ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้านี้ทั้งร้านหลักอย่าง David Toutain ในปารีส ก็ได้ทั้งมิชลิน 2 ดาว และดาวรักษ์โลก หรือแม้แต่ Feuille ร้านในฮ่องกงของเชฟคนเดียวกันก็คว้ามิชลิน 1 ดาว ควบดาวรักษ์โลกเช่นกัน

.

Weekend มีโอกาสได้สัมภาษณ์เชฟ David Toutain ในโอกาสที่เดินทางมาเปิดร้าน ได้คำตอบเรื่องดาวรักษ์โลกว่า ร้านในปารีสมีคอนเซปต์ที่แตกต่างจากที่นี่ โดยใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นโดยตรง เพื่อสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น แม้ว่าที่กรุงเทพฯ จะมีคอนเซปต์ที่ต่างจากที่ปารีส แต่เราก็พยายามรังสรรค์จานอาหารจากความเป็นธรรมชาติ ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบและการนำไปใช้ โดยวัตถุดิบบางส่วนส่งตรงมาจากฝรั่งเศส

.

เราถามเพิ่มถึงความเป็นไปได้ที่จะทำงานร่วมกับเกษตรกรท้องถิ่นไทย ตอนนี้เชฟบอกว่า โฟกัสเรื่องวัตถุดิบ และความคงที่ของรสชาติอาหารก่อน แต่ในช่วงสิ้นปีจะมีการประชุมแผนสำหรับปีถัดไป และอาจจะเป็นไปได้ที่จะเริ่มค้นหาวัตถุดิบท้องถิ่นในประเทศไทย ซึ่งก็หมายความว่า ยังคงปรัชญาที่อยากทำงานกับเกษตรกรท้องถิ่นเช่นเคย แล้วแบบนี้ทำไมจะไม่มีลุ้น Michelin Green Star ล่ะ

.

สำหรับที่นี่ตามชื่อก็คือ Duet ซึ่งเชฟ David Toutain ทำงานกับเชฟ Valentin Fouache เชฟประจำที่นี่ ซึ่งผ่านการทำงานร้านอาหารฝรั่งเศสในไทยมาก่อน โดยยึดเอาปรัชญาของเชฟเดวิดในการเลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ โดยเฉพาะการนำเอาผักและสมุนไพรมาใช้ นอกจากนี้ยังมีแลคโตเฟอร์เมนท์ที่เน้นการหมักดองเพิ่มรสชาติให้อาหารฝรั่งเศสในแบบโมเดิร์นผ่านเมนู Farm to Table ทั้ง Essence menu 6 acts ราคา 4,800++บาท และ Experiment menu 8 acts ราคา 5,800++บาท

.

สำหรับเมนูเด่นเราว่ามี Shiro Kyoto Miso นำมิโซะมาปรุงกับมะเขือยาว โฟมมะเขือยาว และมะเขือยาวทอดกรอบ, XO Sauce หอยเชลล์จากบริทานีย์ปรุงกับเนย มาพร้อมเอ็กซ์โอโฮมเมดและโฟมดอกกะหล่ำ, Panang เชฟนำเอาพริกแกงแพนงมาปรุงกับฟัวการ์ส, Dill ทวิสต์จากเมนูบาริกูลของร้านที่ฝรั่งเศส โดยนำเอาแอปเปิลเขียวและเค้กผักชีลาว ราดด้วยโฟมงาดำและซอสบาริกูล, Epicea บลูล็อบสเตอร์จากบริทานีย์กับบิสก์ ซาบายอง และลูกสนยุโรป, Tamarind เชฟนำเอามะขามมาใช้กับพิราบรมควัน, Fig Leaves ขนมปังกับใบฟิกซ์ที่ดองในเหล้าบ๊วย และบลูชีส, Coriander เชฟนำเอาสับปะรดไทยมาใช้กับซอร์เบผักชี และโดนัทไส้สับปะรด

.

สรุปภาพรวมเราว่าเชฟพยายาม Localize อาหารให้เข้ากับบ้านเรา แต่ตอนนี้ยังใช้วัตถุดิบจากฝรั่งเศสเป็นหลัก แน่นอนว่าเชฟได้บอกกับเราแล้วว่าเตรียมออกค้นหาวัตถุดิบไทยมาใช้ อดใจรออีกเวอร์ชั่นในอนาคตได้เลย

.

Duet by David Toutain ของ The Ritz-Carlton, Bangkok

Thu

17:30 - 22:00

4,800+ / คน

Alex Dilling at Lord Jim’s

เจริญกรุง

Alex Dilling at Lord Jim’s
Alex Dilling at Lord Jim’s
Alex Dilling at Lord Jim’s | Photo: Alex Dilling at Lord Jim’s

แม้ว่าจะทำได้ดีกว่าเชฟคนเดิมของ Le Normandie แต่เมื่อเบอร์ใหญ่มาเขาก็ตัองหลีกทางให้ ฟังดูเหมือนเขามือไม่ถึงแต่ไม่ใช่เลย Alex Dilling ได้รับโจทย์ใหม่ที่ยากไม่แพ้กันที่ Lord Jim’s ของโรงแรม Mandarin Oriental, Bangkok ใช่ที่นี่ได้รับความนิยมค่อนข้างมากกับบุฟเฟ่ต์ แต่การเข้ามาปรับเมนูอลาคาต ในแบบ Provençal ฝรั่งเศสตอนใต้ ผสานกับกลิ่นอายของอาหารเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อดึงคนกินอีกกลุ่มเป็นเรื่องที่หนักเอาเรื่องทีเดียว


Sushi Saito

เจริญกรุงฝั่งใต้

sushi
Sushi Saito | Photo: Sushi Saito

ซูชิโอมากาเสะจองยากจากโตเกียว ที่เริ่มแรกใช้วิธีการจองแบบญี่ปุ่นที่ต้องมีการแนะนำ และเมื่อกินเสร็จทางร้านจะเปิดโอกาสให้เราจองมื้อต่อไปได้เลย สำหรับ Sushi Saito Tokyo ตอนนี้ได้คะแนนของ Tabelog อยู่ที่ 4.60 จาก 5 คะแนน และไม่มีดาวแล้ว ส่วน Sushi Saito Hong Kong ได้ระดับ 1 ดาว อยู่ภายในโรงแรม Four Seasons Hong Kong เป็นร้านที่ก่อตั้งโดยเชฟ Takashi Saito ในย่านมินาโตะในกรุงโตเกียว รับเพียงรอบละ 7 คน เคยได้รับคำชื่นชมจาก CNN Travel และเชฟระดับตำนานผู้ล่วงลับ Joel Robuchon ว่าเป็นร้านซูชิที่ดีที่สุดของโลก จุดเด่นของ Sushi Saito อยู่ที่การนำเสนอซูชิในแบบ Edomae ที่เป็นสไตล์ซูชิที่คลาสสิกมาก

Thu

12:00 - 21:30

5,800+ / คน

K by Vicky Cheng

สาทร

K by Vicky Cheng
K by Vicky Cheng
K by Vicky Cheng | Photo: K by Vicky Cheng

ร้านอาหารจีนร่วมสมัย โดยเชฟ Vicky Cheng จากร้าน Wing มิชลิน 1 ดาวในฮ่องกง ที่ผสมผสานศิลปะการทำอาหารจีนแบบดั้งเดิมกับเทคนิคสมัยใหม่ โดยคัดสรรวัตถุดิบชั้นยอดจากทั้งประเทศจีนและจากทั่วทุกมุมโลก โดยถูกนำเสนอในรูปแบบทาปาส ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลอย่างกุ้งหวานดองสไตล์แต้จิ๋ว กุ้งแม่น้ำผัดใบหนำเลี๊ยบและกระเทียม หมูดำไอเบอริโก้ย่างซอสฮ่องกง ก๋วยเตี๋ยวผัดเนื้อ ไข่ดองรมควันกับไข่ปลาคาเวียร์ ซุปหอยแดงแคนตาลูปกระเพาะปลา ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊ว และหอยเป๋าฮื้อแอฟริกาใต้ในซอส


J’aime by Jean-Michel Lorain
J’aime by Jean-Michel Lorain
J’aime by Jean-Michel Lorain | Photo: J’aime by Jean-Michel Lorain

ห้องอาหารฝรั่งเศสไฟน์ไดนิง โดย เชฟ Jean-Michel Lorain เจ้าของโรงแรมและห้องอาหาร La Cote Saint-Jacques ในแคว้นเบอร์กันดี ประเทศฝรั่งเศส เจ้าของรางวัล 2 ดาวมิชลิน และ MICHELIN Green Star ซึ่งให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืน แม้ว่าห้องอาหารในไทยจะไม่มีดาวแล้ว แต่คนที่ชื่นชอบอาหารฝรั่งเศสคลาสสิกยังคงแวะเวียนกันมาอยู่เสมอ


The China House by Chef Fei

เจริญกรุง

The China House by Chef Fei
The China House by Chef Fei | Photo: Bandit Phinyovadtanachip

หลังจากปิดให้บริการเพื่อรีโนเวทไปนานกว่า 18 เดือน ตอนนี้ห้องอาหารจีน The China House by Chef Fei กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง ในวันอังคารที่ 26 สิงหาคมนี้ โดยมีเชฟเฟย หรือเชฟ หวง จิงฮุ่ย จาก Jiang by Chef Fei ร้านมิชลิน 2 ดาว ของโรงแรม Mandarin Oriental Guangzhou มาช่วยเป็นที่ปรึกษา

ความน่าสนใจของเดอะ ไชน่าเฮ้าส์ ยังอยู่ที่ดีไซน์ใหม่ทั้งหมด โดยถ่ายทอดเสน่ห์เมืองเฉาซ่าน เมืองที่ขึ้นชื่อทั้งด้านอาหาร และเป็นบ้านเกิดของเชฟเฟย ที่สะท้อนภาพหมู่บ้านชาวประมง ไปจนถึงโคมไฟที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมงกุฎฟีนิกซ์ ชั้นล่างเพิ่มเติมบาร์น้ำชา และบาร์ค็อกเทลไว้ให้บริการ สำหรับลูกค้าที่ต้องการแวะมาดื่มชา ค็อกเทล และกินอาหารมื้อเบาๆ เรียกว่าแทบไม่หลงเหลือภาพจำเดิมของที่นี่

อีกจุดเด่นใหม่ก็คือการได้ตัวเชฟเฟยมาช่วย เพราะนี่คือเชฟชื่อดังของจีนแผ่นดินใหญ่ แม้ว่าตัวเชฟจะไม่ได้อยู่ประจำ แต่เขาได้ส่งทีมเชฟของเขามาถึง 5 คน ที่ถนัดปรุงอาหารต่างกัน ทั้งผัด ย่าง และติ่มซำ มาช่วยทำอาหารแต้จิ๋ว ควบคู่กับอาหารจีนกวางตุ้ง ซึ่งเชฟเฟยได้ดีไซน์อาหารออกมาทั้งอลาคาต และเซตเมนู รวมถึงติ่มซำมื้อกลางวัน


Thu

11:30 - 14:30

1,500+ / คน

Palmier by Guillaume Galliot

เจริญกรุงฝั่งใต้

French cuisine in Charoen Krung
French cuisine in Charoen Krung
Palmier by Guillaume Galliot | Photo: Tanisorn Vongsoontorn

ฤดูใบไม้ผลิมาถึงทีไร ก็จะมีวัตถุดิบประจำฤดูกาลชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมมากในร้านอาหารยุโรป นั่นคือ ‘หน่อไม้ฝรั่ง’ (Asparagus) และปีนี้ Palmier by Guillaume Galliot ห้องอาหารฝรั่งเศสริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ Four Seasons Hotel Bangkok ก็ชวนไปลิ้มรสชาติประจำฤดูกาลด้วยเมนูพิเศษที่ใช้หน่อไม้ฝรั่งเป็นวัตถุดิบหลัก

.

ความพิเศษของเมนูนี้คือการใช้หน่อไม้ฝรั่งขาว (White Asparagus) นำเข้าจากแคว้นวาล เดอ ลัวร์ (Val de Loire) ประเทศฝรั่งเศส ที่มีรสชาติรสชาติหวานหอมเป็นเอกลักษณ์และเป็นวัตถุดิบหายาก นำมาปรุงเป็นอาหาร 4 อย่าง ได้แก่

.

‘หน่อไม้ฝรั่งขาวเวลูเตกับโฟมเบคอนและส้มสด’ (980 บาท) ซอสเวลูเตเนื้อเนียนที่ทำจากหน่อไม้ขาว รสหวาน หอมละมุน ตัดด้วยรสชาติของโฟมเบคอนนุ่มฟูที่อยู่กลางจานและมีความสดชื่นจากเนื้อส้มสด ‘หน่อไม้ฝรั่งขาวกับหอยตลับฝรั่งเศสและซอสครีมผักชีลาว’ (1,280 บาท) หน่อไม้ฝรั่งขาวจับคู่กับวัตถุดิบจากท้องทะเลอย่างหอยตลับฝรั่งเศสและหอยแมลงภู่ เพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมยั่วน้ำลายด้วยซอสครีมผักชีลาว

.

‘หน่อไม้ฝรั่งขาวกับเห็ดมอเรลและโพเลนตาถั่วลันเตาเขียว’ (1,480 บาท) เป็นจานที่ชูเอกลักษณ์ของวัตถุดิบจากพื้นดินได้เป็นอย่างดีทั้งรสชาติ กลิ่น และรสสัมผัส โดยที่ทั้งหมดนั้นถูกเชื่อมไว้ด้วยความครีมมี นุ่มนวล และ ‘หน่อไม้ฝรั่งขาวตุ๋นสไตล์โพรวองซ์กับซอสมูสเซอลีน’ (1,480 บาท) หน่อไม้ฝรั่งขาวตุ๋นอย่างพิถีพิถันจนเนื้อนุ่ม ราดด้วยซอสมูสเซอลีนเนื้อละมุนลิ้นและหนักแน่นในรสชาติ

.

นอกจากนั้นยังมีอีกหนึ่งจานที่ใช้หน่อไม้ฝรั่งเขียวเป็นวัตถุดิบ นั่นคือ ‘หน่อไม้ฝรั่งเขียวกับเห็ดมอเรลแฮมแห้ง มินต์ และซอสไวน์เหลือง’ (1,680 บาท) หน่อไม้ฝรั่งเขียวเนื้อแน่นกำลังดี เคี้ยวกรุบ เสิร์ฟพร้อมเห็ดมอเรล แฮมแห้ง ทำให้มีรสสัมผัสที่หลากหลาย เพิ่มรสชาติและกลิ่นด้วยมินต์และซอสไวน์เหลือง

.

เมนูหน่อไม้ฝรั่งทั้ง 5 อย่าง ได้รับเกียรติจากเชฟ Guillaume Galliot เชฟผู้ดูแลสูตรอาหารให้กับ Palmier by Guillaume Galliot ซึ่งปัจจุบันประจำการอยู่ที่ Caprice ห้องอาหารระดับมิชลิน 3 ดาวที่โรงแรม Four Seasons Hong Kong เดินทางมาเข้าครัวเองระหว่างวันที่ 25-27 เมษายนที่ผ่านมา แต่ถึงเชฟจะกลับไปแล้วทุกคนก็ยังสามารถสั่งเมนูประจำฤดูกาลได้จนถึงวันที่ 30 เมษายนนี้

.

หรือจะลองสั่งอาหารอย่างอื่นที่ร้านก็มีจานแนะนำอย่าง ทาร์ทาร์เนื้อที่จะมาปรุงก่อนเสิร์ฟถึงโต๊ะ หอยทากอบกระเทียมและเนยผสมพาร์สลีย์ รวมถึงจานซิกเนเจอร์ของเชฟ Guillaume Galliot ซึ่งเป็นจานขายดีประจำห้องอาหารอย่าง My Hot & Cold Onion Soup ซุปหัวหอมที่เสิร์ฟในรูปแบบไอศครีม มาพร้อมกับมาร์มาเลด ขนมปัง และพาร์เมซานชีส และจานหลักอย่างสเต็กเนื้อวากิวออสเตรเลียคู่กับเฟรนช์ฟรายและซอสเบอาร์แนส

.

ห้องอาหาร Palmier by Guillaume Galliot อยู่ที่โรงแรม Four Seasons Hotel Bangkok ร้านเปิดทุกวัน 2 ช่วงเวลา ได้แก่ มื้อกลางวัน 11:30-14:30 และมื้อเย็น 18:00-22:30

Thu

11:30 - 22:30

2,500+ / คน

Purple Laurel

ราชประสงค์

Purple Laurel
Purple Laurel
Purple Laurel | Photo: Purple Laurel

ทำความรู้จักอาหารเจียงหนานที่ Purple Laurel ร้านอาหารแห่งแรกนอกจีนแผ่นดินใหญ่ของเชฟ Yu Bin ผู้อยู่เบื้องหลังร้านอาหารมิชลินในจีน โดยเชฟนำเอาดอกไม้ประจำเมืองเจียงหนานมาตั้งเป็นชื่อร้าน นอกจากนี้ยังมีเมนูอาหารและบรรยากาศร้านก็ล้วนได้แรงบันดาลใจจากบ้านเกิดของเชฟที่เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ล่าสุดเชฟเปิด Bao Bao by Chef Yubin ที่ centralwOrld และ Longjing ที่ Central Park


Nobu Bangkok

สาทร

Nobu Bangkok
Nobu Bangkok
Nobu Bangkok | Photo: Nobu Bangkok

ร้านอาหารญี่ปุ่นที่โด่งดังที่สุด เป็นร้านแรกที่บุกตลาดฝั่งตะวันตกและสร้างชื่ออย่างรวดเร็วในแบบอาหารญี่ปุ่นร่วมสมัยผสมผสานกับกลิ่นอายเปรู โดยเชฟ Nobu Matsuhisa เชฟชื่อดังผู้พาอาหารญี่ปุ่นเป็นที่รุ้จักไปทั่วโลก ซึ่งเชฟได้ส่งตัวเชฟ Andrew Bozoki มาดูสาขากรุงเทพฯ




SHARE

Link Copied!

ข่าวล่าสุด
logo
Follow us
About us

Careers

Contact us

Privacy Policy

Terms of use

Manage cookies