ด้วยความที่ร้านอาหารกลุ่มนี้ชักชวนเชฟมาร่วมคอลแลปในหลากหลายรูปแบบ ทั้งเข้ามาต่อยอดจากร้านอาหารที่มีอยู่แล้ว มาดูหลังบ้าน พัฒนาสูตรอาหาร หรือร่วมกันเปิดร้านอาหารแห่งใหม่ขึ้นมา โดยนำเอาชื่อของเชฟชื่อดังมาดึงดูดบรรดาฟู้ดดี้ให้เข้ามาใช้บริการ แม้ว่าบางร้านจะไม่ได้มีชื่อของเชฟชื่อดังต่อท้าย แต่ก็มีหลายร้านที่ได้เชฟชื่อดังมาช่วยดูแลหลังบ้านด้วยเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นร้านอาหารไฟน์ไดนิง
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่มีร้านอาหารโดยเชฟชื่อดังเข้ามาเปิดเป็นจำนวนมาก ทั้งการสร้างจุดสนใจให้กับห้องอาหารของโรงแรมเอง หรือการเตรียมตัวต้อนรับการมาของมิชลินไกด์ ฉบับประเทศไทย รวมถึงการพยายามทำให้กรุงเทพฯ เป็นจุดหมายในการเดินทางของนักกิน ซึ่งล้วนทำให้เกิดร้านอาหารอย่าง L'Atelier de Joël Robuchon ของเชฟผู้ล่วงลับ หรือ Morimoto Bangkok โดยเชฟ Masaharu Morimoto เชฟกระทะเหล็กชาวญี่ปุ่น แม้ว่าบางร้านไม่ได้ไปต่อ ด้วยปัจจัยที่ต่างกัน แต่ก็มีร้านไม่น้อยที่อยู่คู่เมืองไทยมาอย่างยาวนานอย่าง Sra Bua by Kiin Kiin ที่ได้เชฟ Henrik Yde-Andersen จาก Kiin Kiin ร้านอาหารไทยแห่งแรกที่ได้ดาวมิชลินในเดนมาร์ก มาช่วยพัฒนาสูตรร่วมกับเชฟชาวไทย
Friday ได้ลองลิสต์ร้านอาหารในกรุงเทพฯ ที่ได้เชฟชื่อดังมาช่วยดูหลังบ้าน เราพบว่ามีร้านอาหารถึง 17 แห่ง ไม่ว่าจะในรูปแบบใด แถมส่วนใหญ่ก็ถือเป็นเชฟเบอร์ใหญ่ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Anne-Sophie Pic เชฟชื่อดังคนล่าสุดที่เข้ามาในบ้านเรา หรือตำนานเชฟอย่าง Alain Ducasse และ Mauro Colagreco เบอร์หนึ่งของโลกจาก Mirazur รวมถึงคิงส์ออฟไวท์ทรัฟเฟิล Umberto Bomban ซึ่งแน่นอนว่าการคอลแลปกับเชฟชื่อดังก็มีทั้งที่ประสบความสำเร็จ รวมถึงล้มเหลวซมซานกลับไปบ้านเกิดก็มี ด้วยปัจจัยที่ไม่เข้าใจลูกค้า หรือการไม่ปรับรสชาติให้เข้ากับการรับรสของคนไทย
ร้านอาหารฝรั่งเศส 1 ดาวมิชลิน ที่ได้เชฟระดับตำนาน อลัง ดูคาส (Alain Ducasse) หนึ่งในผู้ครอบครองดาวมิชลินมากที่สุดคนหนึ่งมาเป็นที่ปรึกษา นำโดยเชฟ Wilfrid Hocquet กับอาหารฝรั่งเศสที่ใช้วัตถุดิบในประเทศไทยค่อนข้างเยอะ เสริมด้วยวัตถุดิบนำเข้าจากญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และฝรั่งเศส ทำเมนูต่างจากดูคาสร้านอื่น มื้อกลางวัน 5 Courses ราคา 2,950++บาท และเทสติ้งเมนู Voyage ที่มีให้เลือกระหว่าง 5, 6 และ 8 Courses ราคา 3,950-7,500++บาท
Anne-Sophie Pic at Le Normandie เปรียบได้กับสวนดอกไม้ของเชฟหญิง Anne-Sophie Pic และ Tamaki Kobayashi เฮดเชฟชาวญี่ปุ่นที่ทำงานกับเธอมาอย่างยาวนาน มาช่วยกันนำเสนอรสชาติอาหารฝรั่งเศสสุดละมุน เธอยังปรับบรรยากาศสุดคลาสสิกของร้านเดิมแทนที่ด้วยความร่วมสมัยและลวดลายที่อ่อนช้อย รวมถึงใส่สิ่งที่เธอชื่นชอบอย่างดอกไม้ เข้ามาในเอเลเมนต์ต่างๆ ทำให้ที่นี่กลายเป็นสวนดอกไม้เหมือนกับที่ร้านต้นฉบับของเธอมีสวนดอกไม้รายล้อมร้าน
เราว่าสิ่งที่เชฟ Anne-Sophie นำเข้ามาให้กับที่นี่ก็คือ รสชาติอาหารฝรั่งเศสอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเกิดขึ้นจากประสบการณ์ในชีวิตของเธอ ทั้งการเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อท่องเที่ยว รวมถึงมาทำคอลแลปมื้ออาหารที่ Le Normandie เมื่อหลายปีก่อน นอกจากนี้การใช้ชีวิตในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนในประเทศญี่ปุ่นยาวนานกว่าครึ่งปี ก็ทำให้เธอหลงใหลในรสชาติของทั้งอาหารญี่ปุ่นและไทย ซึ่งถูกนำมาใช้จริง
ใครได้มาชิมอาหารมื้อนี้เราเชื่อว่าน่าจะสัมผัสได้ถึงอิทธิพลของรสชาติแบบญี่ปุ่นในอาหารฝรั่งเศสของเธอ ซึ่งไม่ได้มาจากเชฟ Tamaki แต่เป็นตัวเธอเองที่ได้ติดตัวมาจากประสบการณ์ของเธอเอง
ที่นี่ให้บริการอาหารอลาคาร์ต นอกจากนี้ยังมีเซตเมนูสำหรับมื้อกลางวัน 3 คอร์ส ราคา 4,500++บาท และเมนู Voyage 7 คอร์ส สำหรับมื้อค่ำ ราคา 9,000++บาท เราได้ชิมทั้งหมด 5 เมนู ซึ่งหลายจานเป็นซิกเนเจอร์ของเชฟ Anne-Sophie
ปีนี้ Sra Bua by Kiin Kiin จะเปิดให้บริการในประเทศไทยครบ 15 ปี ในเดือนกันยายน ที่จะถึงนี้ แน่นอนว่าที่นี่ปรับตัวเองอยู่เสมอ แม้ว่าจะเริ่มต้นด้วย ‘อาหารไทยโมเดิร์น’ เรียกว่าเป็นร้านแรกๆ ที่นำเอาอาหารคาวมานำเสนอเป็นของหวาน อย่างไอศกรีมแกงแดง จนเคยได้มิชลินสตาร์ 1 ดาว และล่าสุดกับ ‘การชูวัตถุดิบท้องถิ่น และใส่ใจเรื่องความยั่งยืน’ แน่นอนว่าทุกครั้งที่เชฟ Henrik Yde-Andersen ปรับเปลี่ยนอะไร ล้วนผ่านกระบวนการคิดมาแล้วอย่างดี
.
ด้วยความที่เชฟเริ่มเปิดร้าน Kiin Kiin ร้านอาหารไทยในเดนมาร์ก เชื่อได้เลยว่าต้องนำเข้าวัตถุดิบอาหารไทยเหมือนทุกร้านอาหารไทยในยุโรปอย่างแน่นอน ทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อเปิด Sra Bua by Kiin Kiin แล้วเชฟจะให้ความสำคัญกับวัตถุดิบท้องถิ่นที่เขาพยายามหามาใช้ในเดนมาร์ก เพราะที่นี่เขาจะใช้วัตถุดิบอะไรทำอาหารไทยก็ได้
.
ล่าสุดที่นี่เดินหน้าส่งเสริมความยั่งยืนของอาหารไทยอย่างจริงจัง ทั้งการให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการเกษตรกรรมและการประมง ที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านเซตเมนูล่าสุด ‘The Legends of the Lotus-The Blooming Dawn’ ที่ให้เลือกคอร์สอาหารได้ทุกคอร์ส ตั้งแต่อาหารเรียกน้ำย่อย ไปจนถึงของหวาน มื้อกลางวัน มีให้เลือก 3 คอร์ส ราคา 2,200++บาท และ 5 คอร์ส ราคา 3,800++บาท ส่วนมื้อค่ำ ราคา 4,600++บาท
.
ที่นี่ยังคงมีเชฟเบิ้ม-ชยวีร์ สุจริตจันทร์ เชฟใหญ่ชาวไทยดูแล และทำการบ้านร่วมกับเชฟเฮนริคในการเปลี่ยนเมนูในทุกซีซั่น สำหรับประสบการณ์ของที่นี่ยังคงเหมือนเดิมโดยเริ่มที่ Street Food ที่เชฟเฮนริคได้แรงบันดาลใจมาจากการเดินทางครั้งแรกในประเทศไทย ได้แก่ เมอแรงก์วาซาบิโยเกิร์ต เวเฟอร์สะเต๊ะ น้ำพริกหนุ่มแคปหมูข้าวพอง หอยทากทะเลปรุงรส โดนัทไส้เห็ดชิเมจิผัดกะเพรา เมี่ยงคำ และยำรากบัว
.
ส่วนคอร์สอาหารในรอบนี้มีเมนูใหม่อย่าง ต้มโคล้งปลากรอบ สลัดหอยแตงกวาน้ำมันกะเพราและผักชี ยำเทอร์รีนปลาหมึกยักษ์ ล็อบสเตอร์ค็อกเทลท็อปด้วยโฟมบิสก์ อกเป็ดราดซอสเอ็กซ์โอ และพาร์เฟต์ข้าวโพดสเลอร์ปีมะพร้าวเผา และจบลงด้วยเปอติต์โฟร์ที่ให้เราเล่าสนุกกับพริก เลโก้ หิน อบเชย และไข่มุก
.
และข่าวดี ครั้งหน้าเชฟเฮนริควางแผนที่จะเดินทางมาไทยในช่วงเดือนกันยายนนี้ พร้อมการนำเอาเมนูยอดนิยมตลอด 15 ปี ที่เปิดไห้บริการกลับมาให้เราได้ชิมในโอกาสครบรอบ 15 ปีของร้านด้วย
.
Sra Bua by Kiin Kiin ภายใน Siam Kempinski Hotel Bangkok
ฤดูใบไม้ผลิที่อิตาลีวนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับความอุดมสมบูรณ์ของผลผลิตประจำฤดูกาล นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่ร้านอาหารอิตาลีจะมีเมนูพิเศษออกมาให้เราได้ชิม หนึ่งในนั้นคือห้องอาหาร Cannubi by Umberto Bombana (คานนูบี บาย อุมแบร์โต บอมบานา) ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ที่นำวัตถุดิบประจำฤดูใบไม้ผลิมาปรุงเป็นเมนูใหม่ 6 คอร์ส
.
Cannubi คือร้านอาหารไฟน์ไดนิงอิตาลีที่เชฟ ‘อุมแบร์โต บอมบานา’ จาก Otto e Mezzo Bombana ร้านอาหารอิตาลีระดับ 3 ดาวมิชลินที่ฮ่องกง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเมนู โดยมีเชฟ ‘อังเดร ซัสโต’ มาประจำการที่ร้านเพื่อดูแลคุณภาพของทุกเมนูรวมถึงเมนูใหม่ที่เรากำลังจะพูดถึงด้วย
.
คอร์สแรกคือ ‘การ์ปัชโชกุ้งแดงจากซิซีลี’ จานคลาสสิกของอาหารอิตาลีที่ชูรสความสดใหม่ของวัตถุดิบซึ่งจานนี้คือกุ้งแดงซิซีลี เชฟอังเดรเลือกใช้เทคนิคการปรุงแบบดั้งเดิมเพื่อรักษาความหวานของกุ้ง เสิร์ฟพร้อมคาเวียร์ เพิ่มรสชาติด้วยพริกฮาลาเปญโญและเบซิลออยล์
.
จากนั้นพบกับวัตถุดิบขึ้นชื่อของฤดูใบไม้ผลิอย่าง ‘หน่อไม้ฝรั่งเขียว’ ในคอร์สที่ 2 ซึ่งเสิร์ฟมา 2 แบบ ทั้งนำไปตุ๋นในน้ำมันแล้วเสิร์ฟเป็นชิ้นและนำไปทำเป็นซอสราด เสิร์ฟพร้อมไข่ออร์แกนิกที่ต้มแบบสโลวคุกจนได้ไข่แดงลาวาเยิ้มๆ ตัดกับสีเขียวของหน่อไม้ฝรั่ง
.
คอร์สที่ 3 จะเป็นพาสตาโฮมเมดที่มีให้เลือก 2 ชนิดระหว่าง ‘พาสตาญ็อกเชตตี’ ที่หน้าตาคล้ายหอยเล็กๆ เสิร์ฟพร้อมกับอูนิจากฮอกไกโด ซีฟู้ดจูส์ และผัก Cime di Rapa จากทางตอนใต้ของอิตาลี รสชาติโดยรวมเหมาะกับคนที่ชอบความครีมมี แต่ถ้าไม่ถนัดก็สามารถเลือกจานที่เบาลงมาหน่อยอย่าง ‘พาสตาตากลิโอลินี’ เส้นเล็กแบนเคลือบซอสซีฟู้ด มาพร้อมกุ้งแดงสเปนย่างถ่านหอมๆ
.
ต่อด้วยเมนคอร์สที่มีตัวเลือกเป็น ‘ปลามาได’ ย่างถ่านเสิร์ฟพร้อมหอยแมลงภู่ หอยหลอดผัด และผัก Agretti วัตถุดิบยอดนิยมทางภาคกลางของอิตาลี และ ‘สเต๊กเนื้อลูกวัว’ ที่เชฟปรุงแบบดั้งเดิมของมิลานเสิร์ฟคู่กับผักประจำฤดูกาล
.
สำหรับของหวานจะเริ่มเสิร์ฟจาก Semifreddo ขนมหวานที่มีเนื้อสัมผัสอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นครีมมูสกับน้ำแข็งโดยมื้อนี้มาในรสส้มยูสุเพื่อล้างปากด้วยความเปรี้ยวก่อนปิดท้ายด้วยความหวานในคอร์สสุดท้ายซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของห้องอาหาร นั่นคือครีมช็อกโกแลตและเฮเซลนัทเสิร์ฟคู่กับเจลาโตรสเฮเซลนัตและราดด้วยซอสวานิลลา
.
เมนูประจำฤดูใบไม้ผลิที่ห้องอาหาร Cannubi by Umberto Bombana ราคาคนละ 5,500++ บาท และสามารถจิบไวน์เพื่อเพิ่มรสชาติอาหารได้โดนราคาอยู่ที่คนละ 1,900++ บาทสำหรับไวน์ 3 แก้ว และคนละ 3,200++ บาทสำหรับไวน์ 5 แก้ว เสิร์ฟถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2568 จองโต๊ะและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0 2200 9000
ห้องอาหารมิชลิน 1 ดาว โดยเชฟ Andreas Caminada นำเสนออาหารสไตล์สวิสคลาสสิกและร่วมสมัยเสิร์ฟในรูปแบบที่สนุกสนาน โดยมีเชฟเดวิด ฮาร์ดวิก และเชฟอาเน่ รีน ดูแลสาขากรุงเทพฯ
ห้องอาหารมิชลิน 2 ดาว ของโรงแรม Capella Bangkok ที่ได้เชฟ Mauro Colagreco เชฟเจ้าของร้าน Mirazur ร้านอาหารที่ดีที่สุดของโลกมาช่วยวางคอนเซปต์ โดยส่งมือขวา เชฟ Davide Garavaglia อดีตเชฟเดอคูซีนของมิราซูร์ มาประจำการในคอนเซปต์ Riviera to the River จากทะเลสู่แม่น้ำ
ห้องอาหารฝรั่งเศสกลิ่นอายญี่ปุ่น 1 ดาวมิชลิน ที่ได้ทางห้องอาหาร Ciel Bleu ในกรุงอัมสเตอร์ดัม มาเป็นพี่ใหญ่ช่วยดูแล ล่าสุดเป็นเชฟ Gerard Villaret Horcajo ที่นำเอาปรัชญาการทำอาหารฝรั่งเศสที่กลิ่นอายญี่ปุ่น แถมตอนนี้เชฟเริ่มนำเอาวัตถุดิบไทยมาใช้มากขึ้น มี 3 เซต Ku-Ki Experience 4 คอร์ส ราคา 4,100++บาท Chikyu Experience 6 คอร์ส ราคา 4,900++บาท และ Mizu Experience 8 คอร์ส ราคา 6,400++บาท
ร้านอาหารอิตาเลียน โดยเชฟ Paulo Airaudo เชฟเจ้าของอาณาจักรอาหารอิตาเลียนที่ได้ดาวมิชลิน รวมกัน 6 ดวง จากร้านอาหารทั้งหมด 4 ร้าน ได้แก่ Amelia มิชลิน 2 ดาว ในซานเซบาสเตียน, Aleia มิชลิน 1 ดาว ในบาร์เซโลน่า, Bar Ibai มิชลิน 1 ดาว ในซานเซบาสเตียน และ Noi มิชลิน 2 ดาว ในฮ่องกง โดยเชฟเปาโลให้ความสำคัญกับรสชาติของอาหารอิตาเลียนแบบคลาสสิก แต่ใส่เอาความสมัยใหม่เข้ามา เลือกใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลจากเมืองไทยและญี่ปุ่นเป็นหลัก ทำให้อาหารของเขาต่างจากอาหารอิตาเลียนร้านอื่นในเครือ โดยส่งเชฟ Ales Donat มาดูแล
นี่คือห้องอาหารแห่งใหม่ Duet by David Toutain ของ The Ritz-Carlton, Bangkok ที่บอกว่ามาเปิดโดยมีเป้าหมายในการได้ Michelin Green Star หรือดาวรักษ์โลก ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้านี้ทั้งร้านหลักอย่าง David Toutain ในปารีส ก็ได้ทั้งมิชลิน 2 ดาว และดาวรักษ์โลก หรือแม้แต่ Feuille ร้านในฮ่องกงของเชฟคนเดียวกันก็คว้ามิชลิน 1 ดาว ควบดาวรักษ์โลกเช่นกัน
.
Weekend มีโอกาสได้สัมภาษณ์เชฟ David Toutain ในโอกาสที่เดินทางมาเปิดร้าน ได้คำตอบเรื่องดาวรักษ์โลกว่า ร้านในปารีสมีคอนเซปต์ที่แตกต่างจากที่นี่ โดยใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นโดยตรง เพื่อสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น แม้ว่าที่กรุงเทพฯ จะมีคอนเซปต์ที่ต่างจากที่ปารีส แต่เราก็พยายามรังสรรค์จานอาหารจากความเป็นธรรมชาติ ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบและการนำไปใช้ โดยวัตถุดิบบางส่วนส่งตรงมาจากฝรั่งเศส
.
เราถามเพิ่มถึงความเป็นไปได้ที่จะทำงานร่วมกับเกษตรกรท้องถิ่นไทย ตอนนี้เชฟบอกว่า โฟกัสเรื่องวัตถุดิบ และความคงที่ของรสชาติอาหารก่อน แต่ในช่วงสิ้นปีจะมีการประชุมแผนสำหรับปีถัดไป และอาจจะเป็นไปได้ที่จะเริ่มค้นหาวัตถุดิบท้องถิ่นในประเทศไทย ซึ่งก็หมายความว่า ยังคงปรัชญาที่อยากทำงานกับเกษตรกรท้องถิ่นเช่นเคย แล้วแบบนี้ทำไมจะไม่มีลุ้น Michelin Green Star ล่ะ
.
สำหรับที่นี่ตามชื่อก็คือ Duet ซึ่งเชฟ David Toutain ทำงานกับเชฟ Valentin Fouache เชฟประจำที่นี่ ซึ่งผ่านการทำงานร้านอาหารฝรั่งเศสในไทยมาก่อน โดยยึดเอาปรัชญาของเชฟเดวิดในการเลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ โดยเฉพาะการนำเอาผักและสมุนไพรมาใช้ นอกจากนี้ยังมีแลคโตเฟอร์เมนท์ที่เน้นการหมักดองเพิ่มรสชาติให้อาหารฝรั่งเศสในแบบโมเดิร์นผ่านเมนู Farm to Table ทั้ง Essence menu 6 acts ราคา 4,800++บาท และ Experiment menu 8 acts ราคา 5,800++บาท
.
สำหรับเมนูเด่นเราว่ามี Shiro Kyoto Miso นำมิโซะมาปรุงกับมะเขือยาว โฟมมะเขือยาว และมะเขือยาวทอดกรอบ, XO Sauce หอยเชลล์จากบริทานีย์ปรุงกับเนย มาพร้อมเอ็กซ์โอโฮมเมดและโฟมดอกกะหล่ำ, Panang เชฟนำเอาพริกแกงแพนงมาปรุงกับฟัวการ์ส, Dill ทวิสต์จากเมนูบาริกูลของร้านที่ฝรั่งเศส โดยนำเอาแอปเปิลเขียวและเค้กผักชีลาว ราดด้วยโฟมงาดำและซอสบาริกูล, Epicea บลูล็อบสเตอร์จากบริทานีย์กับบิสก์ ซาบายอง และลูกสนยุโรป, Tamarind เชฟนำเอามะขามมาใช้กับพิราบรมควัน, Fig Leaves ขนมปังกับใบฟิกซ์ที่ดองในเหล้าบ๊วย และบลูชีส, Coriander เชฟนำเอาสับปะรดไทยมาใช้กับซอร์เบผักชี และโดนัทไส้สับปะรด
.
สรุปภาพรวมเราว่าเชฟพยายาม Localize อาหารให้เข้ากับบ้านเรา แต่ตอนนี้ยังใช้วัตถุดิบจากฝรั่งเศสเป็นหลัก แน่นอนว่าเชฟได้บอกกับเราแล้วว่าเตรียมออกค้นหาวัตถุดิบไทยมาใช้ อดใจรออีกเวอร์ชั่นในอนาคตได้เลย
.
Duet by David Toutain ของ The Ritz-Carlton, Bangkok
แม้ว่าจะทำได้ดีกว่าเชฟคนเดิมของ Le Normandie แต่เมื่อเบอร์ใหญ่มาเขาก็ตัองหลีกทางให้ ฟังดูเหมือนเขามือไม่ถึงแต่ไม่ใช่เลย Alex Dilling ได้รับโจทย์ใหม่ที่ยากไม่แพ้กันที่ Lord Jim’s ของโรงแรม Mandarin Oriental, Bangkok ใช่ที่นี่ได้รับความนิยมค่อนข้างมากกับบุฟเฟ่ต์ แต่การเข้ามาปรับเมนูอลาคาต ในแบบ Provençal ฝรั่งเศสตอนใต้ ผสานกับกลิ่นอายของอาหารเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อดึงคนกินอีกกลุ่มเป็นเรื่องที่หนักเอาเรื่องทีเดียว
ซูชิโอมากาเสะจองยากจากโตเกียว ที่เริ่มแรกใช้วิธีการจองแบบญี่ปุ่นที่ต้องมีการแนะนำ และเมื่อกินเสร็จทางร้านจะเปิดโอกาสให้เราจองมื้อต่อไปได้เลย สำหรับ Sushi Saito Tokyo ตอนนี้ได้คะแนนของ Tabelog อยู่ที่ 4.60 จาก 5 คะแนน และไม่มีดาวแล้ว ส่วน Sushi Saito Hong Kong ได้ระดับ 1 ดาว อยู่ภายในโรงแรม Four Seasons Hong Kong เป็นร้านที่ก่อตั้งโดยเชฟ Takashi Saito ในย่านมินาโตะในกรุงโตเกียว รับเพียงรอบละ 7 คน เคยได้รับคำชื่นชมจาก CNN Travel และเชฟระดับตำนานผู้ล่วงลับ Joel Robuchon ว่าเป็นร้านซูชิที่ดีที่สุดของโลก จุดเด่นของ Sushi Saito อยู่ที่การนำเสนอซูชิในแบบ Edomae ที่เป็นสไตล์ซูชิที่คลาสสิกมาก
ร้านอาหารจีนร่วมสมัย โดยเชฟ Vicky Cheng จากร้าน Wing มิชลิน 1 ดาวในฮ่องกง ที่ผสมผสานศิลปะการทำอาหารจีนแบบดั้งเดิมกับเทคนิคสมัยใหม่ โดยคัดสรรวัตถุดิบชั้นยอดจากทั้งประเทศจีนและจากทั่วทุกมุมโลก โดยถูกนำเสนอในรูปแบบทาปาส ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลอย่างกุ้งหวานดองสไตล์แต้จิ๋ว กุ้งแม่น้ำผัดใบหนำเลี๊ยบและกระเทียม หมูดำไอเบอริโก้ย่างซอสฮ่องกง ก๋วยเตี๋ยวผัดเนื้อ ไข่ดองรมควันกับไข่ปลาคาเวียร์ ซุปหอยแดงแคนตาลูปกระเพาะปลา ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊ว และหอยเป๋าฮื้อแอฟริกาใต้ในซอส
ห้องอาหารฝรั่งเศสไฟน์ไดนิง โดย เชฟ Jean-Michel Lorain เจ้าของโรงแรมและห้องอาหาร La Cote Saint-Jacques ในแคว้นเบอร์กันดี ประเทศฝรั่งเศส เจ้าของรางวัล 2 ดาวมิชลิน และ MICHELIN Green Star ซึ่งให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืน แม้ว่าห้องอาหารในไทยจะไม่มีดาวแล้ว แต่คนที่ชื่นชอบอาหารฝรั่งเศสคลาสสิกยังคงแวะเวียนกันมาอยู่เสมอ
หลังจากปิดให้บริการเพื่อรีโนเวทไปนานกว่า 18 เดือน ตอนนี้ห้องอาหารจีน The China House by Chef Fei กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง ในวันอังคารที่ 26 สิงหาคมนี้ โดยมีเชฟเฟย หรือเชฟ หวง จิงฮุ่ย จาก Jiang by Chef Fei ร้านมิชลิน 2 ดาว ของโรงแรม Mandarin Oriental Guangzhou มาช่วยเป็นที่ปรึกษา
ความน่าสนใจของเดอะ ไชน่าเฮ้าส์ ยังอยู่ที่ดีไซน์ใหม่ทั้งหมด โดยถ่ายทอดเสน่ห์เมืองเฉาซ่าน เมืองที่ขึ้นชื่อทั้งด้านอาหาร และเป็นบ้านเกิดของเชฟเฟย ที่สะท้อนภาพหมู่บ้านชาวประมง ไปจนถึงโคมไฟที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมงกุฎฟีนิกซ์ ชั้นล่างเพิ่มเติมบาร์น้ำชา และบาร์ค็อกเทลไว้ให้บริการ สำหรับลูกค้าที่ต้องการแวะมาดื่มชา ค็อกเทล และกินอาหารมื้อเบาๆ เรียกว่าแทบไม่หลงเหลือภาพจำเดิมของที่นี่
อีกจุดเด่นใหม่ก็คือการได้ตัวเชฟเฟยมาช่วย เพราะนี่คือเชฟชื่อดังของจีนแผ่นดินใหญ่ แม้ว่าตัวเชฟจะไม่ได้อยู่ประจำ แต่เขาได้ส่งทีมเชฟของเขามาถึง 5 คน ที่ถนัดปรุงอาหารต่างกัน ทั้งผัด ย่าง และติ่มซำ มาช่วยทำอาหารแต้จิ๋ว ควบคู่กับอาหารจีนกวางตุ้ง ซึ่งเชฟเฟยได้ดีไซน์อาหารออกมาทั้งอลาคาต และเซตเมนู รวมถึงติ่มซำมื้อกลางวัน
ฤดูใบไม้ผลิมาถึงทีไร ก็จะมีวัตถุดิบประจำฤดูกาลชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมมากในร้านอาหารยุโรป นั่นคือ ‘หน่อไม้ฝรั่ง’ (Asparagus) และปีนี้ Palmier by Guillaume Galliot ห้องอาหารฝรั่งเศสริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ Four Seasons Hotel Bangkok ก็ชวนไปลิ้มรสชาติประจำฤดูกาลด้วยเมนูพิเศษที่ใช้หน่อไม้ฝรั่งเป็นวัตถุดิบหลัก
.
ความพิเศษของเมนูนี้คือการใช้หน่อไม้ฝรั่งขาว (White Asparagus) นำเข้าจากแคว้นวาล เดอ ลัวร์ (Val de Loire) ประเทศฝรั่งเศส ที่มีรสชาติรสชาติหวานหอมเป็นเอกลักษณ์และเป็นวัตถุดิบหายาก นำมาปรุงเป็นอาหาร 4 อย่าง ได้แก่
.
‘หน่อไม้ฝรั่งขาวเวลูเตกับโฟมเบคอนและส้มสด’ (980 บาท) ซอสเวลูเตเนื้อเนียนที่ทำจากหน่อไม้ขาว รสหวาน หอมละมุน ตัดด้วยรสชาติของโฟมเบคอนนุ่มฟูที่อยู่กลางจานและมีความสดชื่นจากเนื้อส้มสด ‘หน่อไม้ฝรั่งขาวกับหอยตลับฝรั่งเศสและซอสครีมผักชีลาว’ (1,280 บาท) หน่อไม้ฝรั่งขาวจับคู่กับวัตถุดิบจากท้องทะเลอย่างหอยตลับฝรั่งเศสและหอยแมลงภู่ เพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมยั่วน้ำลายด้วยซอสครีมผักชีลาว
.
‘หน่อไม้ฝรั่งขาวกับเห็ดมอเรลและโพเลนตาถั่วลันเตาเขียว’ (1,480 บาท) เป็นจานที่ชูเอกลักษณ์ของวัตถุดิบจากพื้นดินได้เป็นอย่างดีทั้งรสชาติ กลิ่น และรสสัมผัส โดยที่ทั้งหมดนั้นถูกเชื่อมไว้ด้วยความครีมมี นุ่มนวล และ ‘หน่อไม้ฝรั่งขาวตุ๋นสไตล์โพรวองซ์กับซอสมูสเซอลีน’ (1,480 บาท) หน่อไม้ฝรั่งขาวตุ๋นอย่างพิถีพิถันจนเนื้อนุ่ม ราดด้วยซอสมูสเซอลีนเนื้อละมุนลิ้นและหนักแน่นในรสชาติ
.
นอกจากนั้นยังมีอีกหนึ่งจานที่ใช้หน่อไม้ฝรั่งเขียวเป็นวัตถุดิบ นั่นคือ ‘หน่อไม้ฝรั่งเขียวกับเห็ดมอเรลแฮมแห้ง มินต์ และซอสไวน์เหลือง’ (1,680 บาท) หน่อไม้ฝรั่งเขียวเนื้อแน่นกำลังดี เคี้ยวกรุบ เสิร์ฟพร้อมเห็ดมอเรล แฮมแห้ง ทำให้มีรสสัมผัสที่หลากหลาย เพิ่มรสชาติและกลิ่นด้วยมินต์และซอสไวน์เหลือง
.
เมนูหน่อไม้ฝรั่งทั้ง 5 อย่าง ได้รับเกียรติจากเชฟ Guillaume Galliot เชฟผู้ดูแลสูตรอาหารให้กับ Palmier by Guillaume Galliot ซึ่งปัจจุบันประจำการอยู่ที่ Caprice ห้องอาหารระดับมิชลิน 3 ดาวที่โรงแรม Four Seasons Hong Kong เดินทางมาเข้าครัวเองระหว่างวันที่ 25-27 เมษายนที่ผ่านมา แต่ถึงเชฟจะกลับไปแล้วทุกคนก็ยังสามารถสั่งเมนูประจำฤดูกาลได้จนถึงวันที่ 30 เมษายนนี้
.
หรือจะลองสั่งอาหารอย่างอื่นที่ร้านก็มีจานแนะนำอย่าง ทาร์ทาร์เนื้อที่จะมาปรุงก่อนเสิร์ฟถึงโต๊ะ หอยทากอบกระเทียมและเนยผสมพาร์สลีย์ รวมถึงจานซิกเนเจอร์ของเชฟ Guillaume Galliot ซึ่งเป็นจานขายดีประจำห้องอาหารอย่าง My Hot & Cold Onion Soup ซุปหัวหอมที่เสิร์ฟในรูปแบบไอศครีม มาพร้อมกับมาร์มาเลด ขนมปัง และพาร์เมซานชีส และจานหลักอย่างสเต็กเนื้อวากิวออสเตรเลียคู่กับเฟรนช์ฟรายและซอสเบอาร์แนส
.
ห้องอาหาร Palmier by Guillaume Galliot อยู่ที่โรงแรม Four Seasons Hotel Bangkok ร้านเปิดทุกวัน 2 ช่วงเวลา ได้แก่ มื้อกลางวัน 11:30-14:30 และมื้อเย็น 18:00-22:30
ทำความรู้จักอาหารเจียงหนานที่ Purple Laurel ร้านอาหารแห่งแรกนอกจีนแผ่นดินใหญ่ของเชฟ Yu Bin ผู้อยู่เบื้องหลังร้านอาหารมิชลินในจีน โดยเชฟนำเอาดอกไม้ประจำเมืองเจียงหนานมาตั้งเป็นชื่อร้าน นอกจากนี้ยังมีเมนูอาหารและบรรยากาศร้านก็ล้วนได้แรงบันดาลใจจากบ้านเกิดของเชฟที่เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ล่าสุดเชฟเปิด Bao Bao by Chef Yubin ที่ centralwOrld และ Longjing ที่ Central Park
ร้านอาหารญี่ปุ่นที่โด่งดังที่สุด เป็นร้านแรกที่บุกตลาดฝั่งตะวันตกและสร้างชื่ออย่างรวดเร็วในแบบอาหารญี่ปุ่นร่วมสมัยผสมผสานกับกลิ่นอายเปรู โดยเชฟ Nobu Matsuhisa เชฟชื่อดังผู้พาอาหารญี่ปุ่นเป็นที่รุ้จักไปทั่วโลก ซึ่งเชฟได้ส่งตัวเชฟ Andrew Bozoki มาดูสาขากรุงเทพฯ